ม.ชูพินิจ-ผู้ใช้นามปากกาว่า “แม่อนงค์” “น้อย อินทนนท์” และอื่นๆอีกหลายนามได้จากพวกเราไปเสียแล้ว และโดยพวกเรา ข้าพเจ้าหมายถึงทั้งนักเรียนเรื่องสั้น เรื่องยาว นักหนังสือพิมพ์ นักอ่านหนังสือ นักดูมวย คนฟังวิทยุ คนดูโทรทัศน์ รวมตลอดไปถึงเด็กๆ ที่กำลังได้รับอุปการะจากมูลนิธิช่วยนักเรียนที่ขาดแคลน เพราะว่า ม.ชูพินิจ ได้มีบทบาทสำคัญเกี่ยวข้องอยู่กับวงการต่างๆ เหล่านั้นอย่างใกล้ชิด
จากบางช้าง กำแพงเพชร ม.ชูพินิจ ได้เข้ามาศึกษาต่อในกรุงเทพฯ ที่ ร.ร.เทพศิรินทร์ บพิตรพิมุข และบวรนิเวศ จบมัธยมแปดที่ ร.ร.สวนกุหลาบเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๗ จากนั้นก็หันเข้ายึดอาชีพครู และได้เริ่มแต่งหนังสือไปพร้อมๆ กัน โดยส่งเรื่องไปลงพิมพ์ใน “เสนาศึกษา” ซึ่งเป็นนิตยสารมีชื่อโด่งดังยุคนั้น ในปี พ.ศ.๒๔๗๐ นวนิยายเรื่องแรกในชีวิตการประพันธ์ของเขาชื่อ “ศึกอนงค์” ก็ได้รับการตีพิมพ์เป็นเล่มออกจำหน่ายโดยนายซุ่นใช้ แม้นมาส เป็นผู้พิมพ์ และมีคำอธิบายไว้ย่อว่าเป็น “วรรณคดีชั้นสูงของราชวงศ์อิเหนา”
ม.ชูพินิจ สารภาพว่า “ศึกอนงค์” เป็นเรื่องนิยายที่เกิดขึ้น “จากความคิด ซึ่งเต็มไปด้วยความเพ้อฝันของเด็กหนุ่มอายุยี่สิบปี” ...เด็กหนุ่มผู้ซึ่งเกิดมาเพื่อที่จะเขียน เขียน และเขียนหนังสือ
เขาได้ทิ้งอาชีพครู แล้วเดินมุ่งมั่นเข้ามาในโลกของการประพันธ์อย่างจริงจัง และไม่มีวันถอยหลังกลับ ม.ชูพินิจ เขียนหนังสือได้ดีเยี่ยมทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสั้น เรื่องยาว หรือคอลัมน์
เขาทำงานได้มากอย่างประหลาด เคล็ดลับของเขามีอยู่ว่า การเปลี่ยนทำนองเขียนนั่นแหละ
คือการพักผ่อนไปในตัว หลังจากคร่ำเคร่งกับนวนิยาย เขาจะหันมาพักด้วยคอลัมน์ แล้วก็
กระปรี้กระเปร่าสดชื่นขึ้นมาใหม่ ความคิดใหม่จุดขึ้นมาอีกพร้อมที่จะเริ่มเรื่องสั้นต่อไปใหม่
สำหรับหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ ซึ่งทางโรงพิมพ์ได้ประกาศล่วงหน้าออกไปแล้วว่าฉบับต่อไปจะมี
เรื่องของ “เรียมเอง” ...ซึ่งก็มีจริงๆ
เขารักการเขียน และรักการท่องเที่ยวเพื่อเผชิญภัย เขาเคยเดินดุ่มตากแดดกรำฝนมาเสียจนชิน
“การท่องเที่ยวจำเป็นมากสำหรับนักเขียน เพื่อที่จะได้รู้จักโลกให้กว้างออกไป” ม.ชูพินิจ
เคยบอกกับข้าพเจ้า “ด้วยฝีเท้าซึ่งเคยเหยียบพื้นดินอย่างแน่น มีปืนกระบอกหนึ่งอยู่ในมือและมีภัยรอบด้าน ทำให้รู้สึกว่านั่นแหละคือชีวิตอันแท้จริงละ สำหรับคุณซึ่งยังไม่เคยคงจะเดาไม่ถูกหรอกว่า ความภาคภูมิใจเมื่อสัตว์ตัวหนึ่งล้มลงด้วยฝีมืออันแม่นยำของเรานั้น จะชื่นบานสักเพียงไหน
ยิ่งกว่านั้น มันทำให้เรามีอะไรใหม่ๆ สำหรับจะคิดและเขียนโดยไม่รู้จบอีกด้วย”
ทุกคราวที่เอ่ยถึงการบุกป่าฝ่าดง ม.ชูพินิจจะมีชีวิตชีวากระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันที เขายินดีที่จะคุยถึงเรื่องนี้นานๆ และเล่าถึงพนังตักซึ่งเป็นอาณาจักรอันล้มเหลวของเขาว่าชุกชุมไปด้วยเนื้อ
และนกมากมายเพียงไร
ข้าพเจ้าหลงใหล “แม่อนงค์” มาตั้งแต่เริ่มอ่านหนังสือเป็น ข้าพเจ้าเดินเข้าเดินออกในเวิ้งนาคเขษม ค้นหาหนังสือเก่าๆ ทุกเล่มเท่าที่จะพึงมี เพื่อจะอ่านเรื่องของ “แม่อนงค์” ครั้นข้าพเจ้า
โชคดีได้มาพบกับ “แม่อนงค์” ที่ข้าพเจ้าเคยบูชาฝีมือ ประโยคแรกที่ข้าพเจ้าถามก็คือ จะเริ่มต้น
อย่างไร จึงจะได้เป็นนักประพันธ์? และสำหรับ “แม่อนงค์” การเริ่มต้นอยู่ที่ไหน?
คำตอบที่ข้าพเจ้าได้รับจาก “แม่อนงค์” ก็คือ :
“ชีวิตการเขียนของผมและเพื่อนรุ่นเดียวกันเริ่มมาจากร้านกาแฟของอาตง”
มันเป็นร้านกาแฟเล็กๆ ซึ่ง ม.ชูพินิจและมวลมิตรสหาย (“ศรีบูรพา” “ยาขอบ” “สันต์
เทวรักษ์” ฯลฯ) เรียกกันติดปากว่าสภากาแฟของอาตง ที่นั่นเปรียบเสมือนสโมสรน้อยๆ ซึ่ง ม.ชูพินิจและเพื่อนฝูงที่ลุ่มหลงในการแต่งหนังสือ ใช้เป็นที่พบปะสนทนากัน เรื่องที่นำมาถกกันในสภากาแฟของอาตง มีทั้งเรื่องของตัวเองและคนอื่น เมื่อพบเห็นอะไรก็เอามาวิจารณ์กันอย่างไม่ต้องเกรงใจใคร “ซึ่งทำให้เราเป็นคนรู้จักคิด และรู้จักชีวิตดีขึ้น นับเป็นเรื่องสำคัญมากในชีวิตของผม”
ม.ชูพินิจว่า “ในเวลานั้นเราไม่รู้จะไปเรียนการประพันธ์กันที่ไหน เพียงแต่จะหาหนังสืออ่านหนึ่งเล่มก็แสนยาก ไม่เหมือนกับเดี๋ยวนี้หรอกครับ... ใครได้หนังสือดีมาเล่มหนึ่งก็บอกกันต่อๆไปว่ามีของดีอยู่ตรงนั้นตรงนี้ แล้วก็เผื่อแผ่ให้ได้อ่านกันทั่ว --ก็พบที่ร้านอาตงนี่แหละ มีเรื่องมาคุยกันไม่
รู้จักเบื่อ... ”
ม.ชูพินิจ ได้ยึดการประพันธ์เป็นอาชีพตลอดมา เคยประจำทำงานอยู่กับหนังสือพิมพ์ไทยใต้,สุภาพบุรุษ,ไทยใหม่ (ยุคแรก),ผู้นำ (ร่วมกับป.บูรณปกรณ์และ “เวทางค์”),ประชาชาติ,ประชามิตร, (“ศรีบูรพา” เป็นกัปตัน),สยามนิกร,พิมพ์ไทย,สยามสมัย (ประหยัด ศ.นาคะนาท เป็นบรรณาธิการ ร่วมสมทบด้วย ประมูล อุณหธูป เป็นกำลังสำคัญ) เมื่อมองย้อนหลังไปดูสวนอักษรของเมืองไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เราจะแลเห็นความจริงข้อหนึ่งได้เด่นชัดว่า ม.ชูพินิจพร้อมด้วยสหายร่วมใจคือสามสี่ท่านในชุดที่ได้ร่วมกันสร้างนิตยสาร “สุภาพบุรุษ” เช่น “ศรีบูรพา” “ยาขอบ”
และ “สันต์ เทวรักษ์” เป็นผู้บุกเบิก new frontier แห่งโลกวรรณกรรมไทย และข้าพเจ้าคิดว่าพวกเราทั้งหมดที่เขียนหนังสือกันอยู่เวลานี้เป็นหนี้บุญคุณของ ม.ชูพินิจ และนักเขียนชุด “สุภาพบุรุษ” ในแง่ที่ท่านเหล่านี้ได้หักร้างถางพงบุกเบิกดินแดนใหม่ให้แก่เราคือแนวการเขียนใหม่ สำนวนใหม่
และความคิดใหม่ๆ
งานบุกเบิกเป็นงานหนัก ต้องการความทรหดอดทนและความเสียสละเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะในด้านกสิกรรม หรือวรรณกรรม
เราขอยกนิ้วบูชาคุณผู้บุกเบิกเหล่านั้นด้วยคารวะ
นักอ่านหลายท่าน อาจจะกำลังคิดถึง “แผ่นดินของเรา” นวนิยายเรื่องใหญ่ของ ม.ชูพินิจ
ซึ่งยังมีผู้นิยมแพร่หลายมากที่สุดเรื่องหนึ่ง เช่นเดียวกับ “ผู้ดี” และ “สี่แผ่นดิน” แต่ข้าพเจ้าได้ทราบว่าสำหรับ “ครูมาลัย” ผู้แต่งนั้น ชอบเรื่อง “ทุ่งมหาราช” มากกว่า
อีกหลายท่านอาจจะกำลังคิดถึงเรื่องสั้นชั้นเยี่ยมมากหลายที่ ม.ชูพินิจได้เขียนไว้ในนามของ “เรียมเอง” บางคนอาจจะคิดถึง “ระหว่างบรรทัด” ของน้อย อินทนนท์ หรือไม่ก็ “ล่องไพร” แต่ไม่ว่าจะเขียนเรื่องในทำนองไหน ความเป็น ม.ชูพินิจ-นักประพันธ์เอกย่อมฉายแสงเจิดจ้าอยู่เสมอ
ตัวหนังสือที่ ม.ชูพินิจ เขียนเป็นตัวหนังสือที่มีลมหายใจ อ่อนหวานและมีเสน่ห์
ใน “ระหว่างบรรทัด” มีกำยานแห่งความตรึงใจ แพรวพรายด้วยประกายแห่งความหวังและศรัทธาในเพื่อนมนุษย์และส่องให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในอุดมคติ
ม.ชูพินิจ เป็นผู้นำคนหนึ่งในยุคนวนิยายเริ่มต้นของเมืองไทย เป็นผู้พิสูจน์ให้เห็นว่า “เรื่องอ่านเล่น” มิใช่เพียงแต่จะอ่านกันเล่นเฉยๆ เพื่อจะลืมเท่านั้น เรื่องอ่านเล่นหรือนวนิยายนี่แหละ เป็นการสังสรรค์ทางศิลป์อย่างหนึ่ง ซึ่งมีคุณค่า และมีความจีรังยิ่งไปกว่าเรื่องอ่านจริงเสียอีก
ม.ชูพินิจ เกิดที่ตำบลเล็กๆ ในจังหวัดกำแพงเพชร โดยกำเนิดเป็นคนชนบท และข้าพเจ้าเชื่อว่า ม.ชูพินิจเป็นคนชนบทอยู่ตลอดชีวิต แม้จะได้เข้ามาอยู่ในเมืองหรือนั่งอยู่ในสภาร่างรัฐธรรมนูญ
ก็ตาม
ในคอลัมน์ “ป.ล.” อันลือชื่อ และในที่อื่นๆ ม.ชูพินิจชอบพูดถึง “ชีวิตลุ่นๆ” เสมอ ข้าพเจ้าคิดว่า ม.ชูพินิจก็เช่นเดียวกับนักคิดทั่วไป ได้พยายามสาะแสวงหาคำตอบที่เกี่ยวกับความจริงของชีวิต และเขาก็ได้พบว่า “ชีวิตลุ่นๆ” นี่เองคือความผาสุก โดยวลีนี้, ม.ชูพินิจหมายถึงชีวิตง่ายๆ...ชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนขวนขวายหาหมวกใหม่ ในเมื่อมีหมวกใบเก่าอยู่แล้ว
จันทน์กะพ้อร่วงพรู...สายน้ำแม่ปิงไหลเอื่อย...เสียงเพลงสงกรานต์ก้องกระหึ่ม...ยอดข้าวสะบัดรวง...เรารักสิ่งเหล่านี้ ภาพฝันเหล่านี้แหละ ม.ชูพินิจ-นักประพันธ์เอกได้สอนให้เรารัก...
ภาพฝันที่เขาวาดไว้อย่างงดงามเหล่านั้นจะอยู่กับเรา...และลูกหลานของเราตลอดไป
ม.ชูพินิจ ผู้นี้เองคือผู้ที่ได้ริเริ่มร่วมกับอารีย์ ลีวีระ อดีตผู้อำนวยการบริษัทไทยพณิชยการ จำกัด ก่อตั้ง “ชมรมนักประพันธ์” ขึ้นเมื่อต้น พ.ศ.๒๔๙๓ โดยมีประหยัด ศ.นาคะนาท บรรณาธิการ
“พิมพ์ไทยวันจันทร์” ในขณะนั้นเป็นประธานของชมรม และข้าพเจ้าเองได้รับมอบหมายให้เป็นเลขานุการของชมรม ม.ชูพินิจ มองเห็นเป็นความจำเป็น และความสำคัญอย่างยิ่งที่บรรดานักเขียนควรจะมีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับวิชาชีพของตนแก่กันและกัน
ในตอนเย็นวันที่ ๒๑ สิงหาคมนี้เอง ขณะที่บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในวงราชการและธุรกิจและญาติมิตรกำลังรดน้ำศพ ม.ชูพินิจ อยู่ที่วัดมกุฏกษัตริย์ ประภาศ วัชราภรณ์ ผู้จัดรายการ “วงวรรณกรรม” ของสถานีโทรทัศน์กองทัพบกได้ไว้อาลัยแด่ ม.ชูพินิจ ไว้ในรายการของเขา โดยที่
“นายรำคาญ” ผู้ได้รับเชิญให้ไปเล่าเรื่องชีวิตและผลงานของเขาได้ขอให้ ประภาศ วัชราภรณ์ ระงับการพูดถึงตัวเขา และขอให้จัดรายการนั้นเป็นการไว้อาลัยแด่ ม.ชูพินิจทั้งหมดและ “นายรำคาญ” ก็ได้ร่วมพูดถึงชีวิตและงานของ ม.ชูพินิจ ด้วย
เมื่อประภาศ วัชราภรณ์ กล่าวว่า ม.ชูพินิจมีหุ้นส่วนสำคัญอยู่ในชีวิตการประพันธ์ของ “นายรำคาญ” ประหยัด ศ.นาคะนาท หรือ “นายรำคาญ” ได้ขอแก้ว่า ม.ชูพินิจ ไม่ได้มีหุ้นส่วนสำคัญในการงานของเขา หากเป็นผู้ลงทุนให้แก่งานประพันธ์และงานหนังสือพิมพ์ของเขาทีเดียว และได้กล่าวยกย่องน้ำใจอันกว้างขวางเผื่อแผ่ของ ม.ชูพินิจที่มีต่อเด็กๆ และเพื่อนร่วมวิชาชีพไว้อย่างจริงใจ ซึ่งประหยัด ศ.นาคะนาทเองก็เคยได้รับตั้งแต่เขาเริ่มเขียนหนังสือเมื่ออายุได้ ๑๙-๒๐ ปีทั้งๆ ที่ในขณะนั้นเขาไม่เคยรู้จัก ม.ชูพินิจมาก่อนเลย “นายรำคาญ” ตอบประภาศ วัชราภรณ์ เกี่ยวกับ
“ชมรมนักประพันธ์” ว่า ม.ชูพินิจได้ริเริ่มงาน “ชมรมนักประพันธ์” ขึ้นเพื่อที่จะให้ก้าวไปสู่สมาคมหรือสโมสรของนักเขียนเช่นเพ็นคลับในต่างประเทศนั่นเอง และขณะนี้ก็ได้มีผู้มีอุดมคติอันเดียวกันกับ ม.ชูพินิจ ได้ก่อตั้งสมาคมภาษาและหนังสือ ซึ่งมีฐานะเช่นเดียวกับเพ็นคลับและได้รับการยกย่องจากนานประเทศเป็นอันดี ซึ่ง ม.ชูพินิจ ก็ดำรงตำแหน่งอุปนายกอยู่จนถึงวายชนม์
ประหยัด ศ.นาคะนาท ได้เล่าถึงการให้ความหมายในข้อแตกต่างระหว่างนักหนังสือพิมพ์กับนักประพันธ์ของ ม.ชูพินิจว่า ปัญหาความแตกต่างกันหรือไม่ เพียงไร ระหว่างนักหนังสือพิมพ์กับนักประพันธ์ซึ่งมักเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในวงการหนังสือเสมอมานั้น คุณครูมาลัยได้เคยพูดไว้สั้นๆ แต่ชัดเจนที่สุดใน “ชมรมนักประพันธ์” นัดแรกเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๓ ที่สีลมว่า
“นักหนังสือพิมพ์กับนักประพันธ์ ข้อแตกต่างกันอย่างเห็นได้ง่ายและเห็นได้ชัด อยู่ที่นักหนังสือพิมพ์ต้องเป็นผู้ซื่อตรงต่อข้อเท็จจริง ส่วนนักประพันธ์ต้องคำนึงมโนภาพ และจินตนาการอันสวยสดงดงามด้วย”
ศพของ ม.ชูพินิจได้รับการบำเพ็ญกุศลในท่ามกลางความสลดใจและความอาลัยของบรรดาญาติมิตรและผู้คุ้นเคยที่วัดมกุฏกษัตริย์เป็นเวลาหลายวันเพราะทั้งญาติมิตร และสถาบันกับองค์การธุรกิจและการกุศลที่ ม.ชูพินิจ ได้ทำงานอยู่ได้เข้าร่วมเป็นเจ้าภาพด้วยความเต็มใจอย่างแท้จริง เสด็จในกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ และพลเอกถนอม กิตติขจร ทั้งสองรองนายกรัฐมนตรีที่ได้เสด็จและไปเคารพในคืนแรก และในคืนต่อมาท่านนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กับท่านผู้หญิงก็ได้ให้นำพวงมาลาไปเคารพศพด้วย |