คุณมาลัยชูพินิจ เคยเขียนขึ้นต้นเรื่องสั้นของท่านเรื่องหนึ่ง ซึ่งผมยังจำได้ว่า "ชีวิตคืออะไรก็ได้" แต่ชีวิตอย่างคุณมาลัยไม่ใช่ชีวิตคืออะไรก็ได้ แต่เป็นชีวิตที่มีชีวิต เต็มไปด้วยชีวิตและชีวา ต่อการต่อสู้กับชีวิตอย่างทรหดอดทน ในบ้านเมืองและในโลกที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงอย่างในทุกวันนี้
มรณกรรมของคุณมาลัย คือการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง คุณมาลัยได้พาเอานักเขียนอีกหลายนามปากกาพลอยตามไปด้วยเช่น ม.ชูพินิจ แม่อนงค์ น้อย อินทนนท์ เรียมเอง สมิงกะหร่อง
แบ๊ตตลิ่งกร๊อบ ตลอดจนตาเกิ้น ตาเกิ้น พรานชาวกะเหรี่ยงที่ออกมากระโดดโลดเต้นให้คนฟังวิทยุ
เห็นจริงเห็นจังเหมือนกับว่าจะมีตาเกิ้นจริงๆ อยู่ในโลกนี้
คุณมาลัย ชูพินิจ เกิดที่จังหวัดกำแพงเพชร บิดาเป็นพ่อค้าซุง ภายหลังเมื่อขาดทุนรอนลงไปก็เป็นกำนันปกครองราษฎรในตำบลของท่านอย่างสุจริตและยุติธรรม ภายหลังในบั้นปลายของ
ชีวิตได้มาป่วยที่โรงพยาบาลศิริราชและถึงแก่กรรมที่โรงพยาบาลนั้น ตลอดเวลาคุณมาลัยได้จัดการ
รักษาพยาบาลอย่างเต็มที่ วิ่งเต้นเที่ยวซื้อหาหยูกยา ซึ่งโรงพยาบาลสั่งให้ซื้ออย่างเต็มที่แปลว่าได้กระทำการสนองคุณต่อบุพการีสมกับที่เป็นลูกที่กตัญญูคุณบิดามารดา
คุณมาลัย ชูพินิจ ได้รับการศึกษาที่โรงเรียนสวนกุหลาบ แต่ได้ไปเรียนภาษาอังกฤษกลางคืนที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ ดังนั้นคุณมาลัยก็เลยพลอยเป็นลูกเทพศิรินทร์กับเขาไปด้วย แล้วออกมาเป็นครูอยู่โรงเรียนวัดสระเกศออกจากครูก็ไปเป็นทหารเสนารักษ์ ผมได้พบคุณมาลัยในเครื่องแบบทหาร ผมตื่นเต้นเหลือเกินที่ได้พบกับนักประพันธ์ผู้นี้ ในมือถือกระเป๋าเอกสารที่อัดแน่นจนโป่ง เปล่า ไม่ใช่เสื้อผ้าหามิได้ แต่เป็นต้นฉบับเรื่องแปล หรือว่านวนิยายอันได้บรรลุสรรพ
เรื่องราวของชีวิตมนุษย์กับมนุษย์-มนุษย์กับธรรมชาติ-มนุษย์กีบสิ่งแวดล้อม หรือที่เรียกกันว่าสังคมรอบๆ ตัวเราเอง
ผมคิดว่าจะไม่กล่าวถึงประวัติของคุณมาลัย ชูพินิจ เพราะว่าคนอื่นคงจะเขียนได้ละเอียดและถี่ถ้วนกว่า ผมหลับตานึกถึงคุณมาลัยคราวใด ภาพในอดีตก็ผุดขึ้นมาในสำนึก ตลอดเวลาที่ผมได้ร่วมทำงานอยู่ด้วยกับคุณมาลัยในฐานะผู้น้อย ซึ่งคุณมาลัยได้ให้ความเมตตากรุณาตามสมควร งานที่ผมเคยทำร่วมกับคุณมาลัยก็คือ งานที่หนังสือพิมพ์ประชามิตร ผมไม่ได้เข้าทำงานด้วยที่ประชาชาติก็เพราะว่าผมทำงานอยู่ถึง ๒ แห่งด้วยกัน คือหนังสือพิมพ์หลักเมืองกับหนังสือพิมพ์
๒๔ มิถุนา ผมจะได้เขียนถึงอุปนิสัยใจคอของคุณมาลัยเท่าที่ผมจำได้ โดยไม่ต้องเยินยออะไรกันเกินไปนัก นอกจากเขียนไปตาม ความสัตย์จริง เท่าที่ได้เคยประสบพบเห็นมาเป็นประจำวัน
ชีวิตคุณมาลัย ชูพินิจ ไม่ใช่ชีวิตคืออะไรก็ได้อย่างที่ท่านกล่าวไว้ แต่ชีวิตคุณมาลัยเป็นชีวิตที่ไม่มีรอยด่างพร้อยอย่างใดเลย คุณมาลัยเคยเขียนถึงผม ๒-๓ ครั้งด้วยการสัพยอกในคอลัมน์ของท่าน บอกว่าได้พบผมครั้งแรกใน "กาเฟเดอลาเปส์" ซึ่งฟังๆ ดูแล้วโก้พิลึกคล้ายๆ พบกันที่ปารีสยังงั้นแหละ แต่ที่แท้แล้วกาเฟเดอลาเปส์ ตั้งอยู่ที่สะพานพุทธฝั่งธนบุรีนั่นเอง เวลานั้นสถานที่เต้นรำเรียกกันว่า "ฮอลล์" ไม่ใช่ไนต์คลับอย่างเดี๋ยวนี้ มีสถานที่เช่นนี้มากที่สุดอยู่ที่ถนนสุริวงศ์ คอนเสริ์ตฮอลล์ โรสฮอล์ มูแลงรูช ลูน่าฮอลล์ ตั้งเรียงรายกันอยู่ ทางด้านบนก็มีซ่วนหลีบาร์ สยามโฮเต็ล สะพานพุทธฝั่งพระนคร ก็มีเซลเล็คและฮอลล์อื่นๆ อีก ๒ ฮอลล์ ผมลืมชื่อไปเสียแล้ว ข้ามมาทางสะพานพุทธฝั่งธนก็มีแม่น้ำบาร์อยู่ใต้สะพานและกาเฟเดอลาเปส์ และยังมีที่เต้นรำอื่นๆ อีก ๒ แห่ง
ผมลืมชื่ออีกเหมือนกัน ผมกับยศ วัชรเสถียร ก็ได้มีโอกาสติดท้ายนักประพันธ์ใหญ่เหล่านี้ไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนอารมณ์กับเขาด้วย
มาถึงตอนนี้แล้วก็ไม่อยากที่จะเขียนถึงความแปดเปื้อนบางอย่าง เพราะนักประพันธ์ศิลปินทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้พิทักษ์รักษาวัฒนธรรมอันดีงาม แต่เราก็ต้องรู้ต้องเห็นสังคมมนุษย์ตั้งแต่ต่ำต้อยไปจนสูงส่ง เมื่อเดินเตร่ไปเตร่กันมาก็ลองเข้าไปรีวิวช่องโสเภณีดูบ้าง ข้าพเจ้ากล่าวดังนี้ก็เพื่อจะให้พฤติการณ์ต่างๆ นี้ส่งรัศมีของคุณมาลัยให้เป็นรัศมีเด่นชัดขึ้นในความไม่มีด่างพร้อยหรือราคี อันที่จริงเราก็ไม่มีความทะยานอยากกันแต่อย่างใด แต่ก็เข้าไปเพื่อดูชีวิตในแง่มุมต่างๆ เท่านั้นเอง หรือเพื่อดูความลี้ลับของชีวิตหญิงประเภทนี้เท่านั้นเอง ทุกๆคนจะเข้าไปนั่งเล่น ไม่มีใครเกี่ยวข้อง คุณมาลัยจะกล่าวช้าๆ เนิบๆ สุภาพเหมือนเสียงผู้หญิงแต่เพียงว่า
"ผมขอคอยอยู่ข้างนอกนะคร้าบ" ก็เท่านั้นเอง นี่ผมก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วนะครับว่าชีวิตคุณมาลัยปราศจากไฝฝ้าจริงๆ ในเรื่องความเย้ายวนของโลกีย์วิสัย ถึงพวกนักเรียนนักประพันธ์ที่เข้าไปสรวลเสเฮฮากันอยู่ภายในวิมานโคมเขียวหรือวิมานนรกนั้น ก็ไม่มีใครยุ่งเกี่ยวเลยสักคนเดียว
นี่เป็นสัตย์จริงของผมที่จะรับรองได้โดยสัตย์จริง
คุณมาลัย ชูพินิจ เป็นคนพูดช้ามาก แต่ชัดถ้อยชัดคำ มีสำเนียงอันหวานหู เมื่อพบผมก็มักจะกล่าวว่า "ไง-คุณมาน้าด" ดังนี้เสมอจนกระทั่งพิทย์ บุณยพุทธหัวเราะก๊ากเมื่อได้ยิน และเขาจะทำเสียงคุณมาลัยเสมอเมื่อพบกับผมโดยใช้คำว่า "คุณมาน้าด" เช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าจะมีใครสักคนไปถามคุณมาลัยว่าคุณมาลัยกำลังทำงานอะไรอยู่ คุณมาลัยก็คงจะตอบว่าขุดเอาความจริงและ นวนิยายขึ้นมาจากพื้นดินให้ได้มากที่สุด จากธรรมชาติให้ได้มากที่สุด แล้วก็ขุดหรือสอยเอาดวงดาวและหมู่เมฆ จ้วงเอาจากท้องทะเลลมยมนา มาให้มากที่สุดที่จะมากได้เพื่อการดำรงชีวิต
อยู่อย่างสบายด้วย และเพื่อพัฒนาเกียรติภูมิและชื่อเสียงให้มันโด่งดังขึ้นไปอย่างไม่มีวันที่จะสิ้นสุด
นักประพันธ์คนแล้วคนเล่าไม่มีใครเลยที่จะเอาอย่างคุณมาลัยได้สำเร็จ คุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ เคยเปรียบคุณมาลัยไว้ว่า ถ้าคุณมาลัยเป็นนักมวยก็จะเป็นนักมวยชนิดแอ ม่วงดี ชกไม่เลือก แพ้ชนะเอาทั้งนั้น ก็อาจเป็นจริงเพราะคุณมาลัยเขียนหนังสือมากเหลือเกินเหมือนมือเป็นเครื่องจักร ใครต้องการก็เขียนให้ทั้งนั้น ครั้งหนึ่งมีสุภาพบุรุษเดินหน้าเซียวๆ ขึ้นมาบนโรงพิมพ์
พอคุณมาลัยเหลือบไปเห็นเข้าเท่านั้นก็ลุกขึ้นยืน วางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะยาวสำหรับเขียนข่าว
"มาเอาต้นฉบับหรือคร้าบ?"
"ครับ ! ผมมาขอรับต้นฉบับจากคุณครู"
"เห็นจะต้องคอยสักหน่อยละครับ" คุณมาลัยพูดช้าๆ อ่อนโยนและสุภาพ
"ครับ ! ไม่เป็นไร ผมคอยได้ครับคุณครู"
คุณมาลัยหยิบกระดาษโทรเลขทรานโอชั่นหรือรอยเตอร์ไปสองแผ่น เดินกระวีกระวาดเข้าไปในห้องของท่าน หายไปสัก ๒๐ นาที หรือกว่า นั้นสักเล็กน้อยก็เดินกึงๆ ออกมาพร้อมด้วยต้นฉบับเรื่องสั้น สุภาพบุรุษหน้าเซียวผู้นั้น ค่อยมีสีหน้าแดงเรื่อขึ้นมาด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยม เขียนเร็วแต่ไม่ใช่เขียนชุ่ย ทุกเรื่องเต็มไปด้วยชีวิต เต็มไปด้วยบรรยากาศและธรรมชาติ และจบลงด้วยไอเดียอันสวยงามเหลือเกิน
คุณมาลัยเองก็ยังเคยเขียนไว้ว่า "ข้าพเจ้าจะไม่ยอมฝืนใจเขียนหนังสือเป็นอันขาด" ซึ่งใครๆ ก็ปฏิบัติตามเสมอมมาในข้อนี้ ครั้งหนึ่งเคยเตือนผมว่าให้ผมอ่านหนังสือให้มากๆ เผอิญตรงที่นั่งผมมีขวดน้ำเย็นตั้งอยู่ คุณมาลัยก็เลยชี้ให้ดูแล้วสาธยายต่อไปอีกว่า ไอ้น้ำในขวดนี้กินเข้าไปๆ แล้ว
มันก็จะหมด ถ้าไม่ตักมาเพิ่มเติมมันเข้าไปอีก ตั้งแต่นั้นผมก็ชักจะจับอ่านหนังสือพิมพ์กับเขาบ้าง แต่แล้วก็ค่อยๆ โรยราไปเพราะถูกหนังสือมันอ่านเอาหลับไปทุกที
หนังสือของมหาวิทยาลัย หนังสือของวิทยาลัย หนังสือของสมาคมการกุศล หนังสือของ
มูลนิธิต่างๆ ที่จะออกกันขึ้นเพื่อเก็บเงิน หรือเพื่อเป็นอนุสรณ์อะไรกันก็ตาม นักเขียนคนแรกที่เขาจะต้องวิ่งมาหาก็คือคุณมาลัย หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ออกใหม่ หนังสือพิมพ์รายคาบจิปาถะ คุณมาลัยจะต้องเข้าร่วมอยู่เสมอ ดังนั้นคุณมาลัยจึงไม่มีเวลาที่จะลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานได้มากนัก ไม่มีเวลาแม้แต่จะออกมาคุยที่โต๊ะเขียนข่าวซึ่งเป็นที่สนทนาสนุกสนานกันอย่างครื้นเครง
ผมเองให้อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ว่าคุณมาลัยวางตัวได้อย่างไรในการที่ไม่เคยถูกใครล้อเลียนได้เลย ทั้งๆที่คุณมาลัยก็มีฉายาที่คุณโชติ แพร่พันธุ์ตั้งไว้ให้ว่าม้าลาย เรื่องฉายาที่จะได้นี้นัยว่าเกิดจากจีนขายกาแฟที่ปากตรอกกัปตันบุศอันเป็นที่ตั้งโรงพิมพ์ไทยใหม่ พูดกับคุณมาลัยว่า
"อานายม้าลาย-ลื้อไม่ได้เป็นใหญ่แล้ว อาคุณสนิทเป็นใหญ่แล้ว"
คุณโชติแอบไปได้ยินเข้าก็เลยให้ฉายาว่า "คุณม้าลาย" ตลอดมา แต่ก็ล้อได้เฉพาะคุณโชติเท่านั้น คนอื่นผมยังไม่เห็นใครไปล้อได้เลย สำหรับคุณโชติแล้วเรื่องตั้งฉายาคนแล้วเป็นวาจาอันศักดิ์สิทธิ์นัก ครั้งหนึ่งที่หนังสือพิมพ์นิกรช่างภาพคนหนึ่งหน้ายิ้มอยู่เป็นนิจ คุณโชติตั้งฉายาให้ว่านายยิ้มเกินตัว ตั้งแต่นั้นมาคนในโรงพิมพ์ก็เรียกตามกันหมด และที่ "นิกร" มีมหาอยู่คนหนึ่งไปทำป้ำๆ เป๋อๆ อะไรเข้าไม่ทราบถูกคุณโชติถอดยศลงเป็นเณร คนทั้งโรงพิมพ์ก็เรียกกันเณรตลอดไปทั่วทั้งโรงพิมพ์ แต่ความมีอัจฉริยะของคุณโชติตั้งดูจะเป็นหมันไป
คุณหอม นิลรัตน์ ณ อยุธยา นักหนังสือพิมพ์ชั้นราชาของเมืองไทยเคยกล่าวกับผมว่า บรรณาธิการที่ดีก็ ควรจะต้องเป็นนักข่าวมาก่อน สำหรับคุณมาลัย โดยมากก็เป็นบรรณาธิการ หรือไม่ก็ผู้ช่วยบรรณาธิการ ถ้าหากว่าคุณกุหลาบ สายประดิษฐ์เป็นบรรณาธิการ ผมยังไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นเลยว่าคุณมาลัยเป็นนักข่าวมาก่อน แต่ถึงบทที่ท่านจะสวมวิญญาณของนักข่าว คุณมาลัยก็ขึ้นถึงสุดยอดเลย คือการเดินทางไปที่จังหวัดสุพรรณบุรี สัมภาษณ์เสือฝ้าย ซึ่งเป็นข่าวใหญ่อยู่ในเวลานั้น ขุนโจรฝ้ายหรือผู้ใหญ่ฝ้ายเป็นขุนโจรอิทธิพลเพียงไรในเวลานั้น ถ้าอายุไม่น้อยไปสักหน่อยก็คงจะทราบกันดีอยู่แล้ว การไปสัมภาษณ์เสือฝ้ายก็ไปกับสมบุญ ณ ฤกษ์ ช่างภาพร่างอ้วนเพียงสองคนด้วยกันเท่านั้น
สมบุญ ณ ฤกษ์ ผู้นี้เป็นช่างภาพที่ตลกพอใช้ ครั้งหนึ่งจอมพลแปลกถูกนายพุ่ม ทับสายทอง
ยิงที่สนามหลวง สมบุญของเราได้ภาพอย่างแจ๋วทีเดียวเพราะใกล้ชิดกับเหตุการณ์ เขารีบกระหืดกระหอบเผ่นกลับโรงพิมพ์รวดเร็วราวกับลมเพชรหึง แต่พอมาถึงโรงพิมพ์และออกมาจากห้องมืด หน้าของเขาซีดเหมือนไก่ต้ม เขาลืมชักสไลด์ออก ตกก็ว่าไม่ได้ภาพเลย ก่อนจากโรงพิมพ์ก็ไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากบอกว่าเห็นจะต้องไปพบกับตาฝ้ายเสียสักหน่อย ใครๆก็คิดว่าพูดเล่นกันทั้งนั้น แต่คุณมาลัยไปจริงๆ ถ่ายได้ภาพชุดเสือฝ้ายเขาเขียว เขาใหญ่มาพร้อมมูล ทั้งนี้โดยความอนุเคราะห์ของข้าหลวงประจำจังหวัดสุพรรณบุรีในสมัยนั้นกับพันตำรวจเล็ก กำเนิดงาม ซึ่งใช้เสือฝ้ายเพื่อเอาตัวเสืออื่นมาสู่เงื้อมมือของกฎหมาย นี่ก็แสดงว่าคุณมาลัยมีวิญญาณและเลือดเนื้อของหนังสือพิมพ์โดยแท้จริง หาได้เป็นแต่นักประพันธ์เท่านั้นไม่
เมื่อกลับมาถึงโรงพิมพ์ คุณมาลัยก็ไม่เห็นว่าจะพูดอะไรมาก พูดออกมานิดเดียวแต่เพียงว่า เสือฝ้ายไม่มีลักษณะที่จะเป็นขุนโจรอย่างไรเลย ถ้าจะมีก็มีอย่างเดียวเท่านั้นคือนัยน์ตา นัยน์ตาเสือฝ้ายคมเหมือนปลายเข็ม คุณมาลัยเขียนเสียหลายวันกว่าจะจบ เขียนให้คุ้มกับที่ได้ลงทุนรอนไปสัมภาษณ์อ้ายเสือหรือขุนโจรมาทั้งที นิสัยคุณมาลัยนอกจากจะสุภาพอ่อนโยนพูดช้าๆ และไพเราะในน้ำเสียงแล้ว การแสดงความเมตตากรุณาต่อผู้น้อยก็ได้ทำให้พวกเราที่ได้ร่วมทำงานกันอยู่ตัวยอดที่จะหัวเราะไม่ได้
ครั้งหนึ่งช่างเรียงพิมพ์หนุ่มน้อยคนหนึ่งเรียงพิมพ์เรื่องของคุณมาลัยผิดอย่างสาหัสสากรรจ์
ทีเดียว เรื่องเรียงพิมพ์ผิดอย่างร้ายกาจนี้ ถึงแก่คุณ ร.จันทพิมพะได้เคยร้องไห้มาแล้ว คุณมาลัยตรวจบรู๊ฟเองก็แก้ลงไปแล้วอย่างเรียบร้อย แต่พอหนังสือขึ้นแท่นพิมพ์ออกมาเสร็จสรรพ ก็ปรากฏว่าช่างเรียงหน้ามนคนนั้นไม่ได้แก้ให้เลย คุณมาลัยโกรธแค้นมาก แต่อย่างโกรธที่สุดก็จะพูดแต่เพียงว่า
"อะไรโตๆ ด้วยกันแล้ว ทำไมทำงานกันอย่างนี้" ซึ่งประโยคนี้คุณมาลัยใช้เป็นประจำทีเดียว "เห็นจะต้องลงโทษกันเสียบ้างแล้ว ขืนปล่อย ต่อไปก็จะสะเพร่าอย่างนี้อีก"
ครั้นแล้วคุณมาลัยก็สั่งการไปทางกองจัดการโดยเด็ดขาด ให้ตัดเงินเดือนช่างเรียงผู้นั้นเป็นเงิน ๔ บาท อันว่าเงินสมัยนั้น ๔ บาทก็ใช่เล่นเสียเมื่อไหร่ ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๕ สตางค์ และโอยัวะ
แก้วละ ๓ สตางค์เท่านั้น เรื่องก็เป็นอันว่าคุณมาลัยได้ลงโทษผู้กระทำผิดตามสมควรแก่โทษานุโทษ
ทีนี้ในเวลาบ่าย ๔ โมงเย็น คุณกุหลาบและคุณมาลัยตลอดจนพวกเราทั้งหมด ก็มักจะมานั่งหย่อนอกหน่อยใจกันที่ร้านสี่แยกบางขุนพรหม ถ้าใหญ่หน่อยก็ไปร้านแม่เจ๊ที่เทเวศร์ ดื่มเหล้ากันเบาะๆ กับแกล้มและของว่างพอบางๆ ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง มันก็เห็นจะเป็นเรื่องบังเอิญอีกน่ะแหละ พอดีพ่อช่างเรียงหน้ามนคนนั้นก็เดินผ่านหน้าร้านมาพอดี และคุณมาลัยก็เผอิญเหลือบไปเห็นเข้าเสียด้วย
"มานี่แน่ะ!" คุณมาลัยพูดลากๆ ตามนิสัย ช่างเรียงเดินเข้ามาและยืนหลังโค้งอยู่ตรงหน้า
"ไง! เขาตัดเงินเดือนเราแล้วซีนะ"
"ตัด ๔ บาทครับ" ช่างเรียงพูดเสียงปกติ
คุณมาลัยรีบล้วงซองธนบัตรออกมาจากกระเป๋า หยิบธนบัตรฉบับละ ๑๐ บาทออกมา
แล้วก็ยื่นไปให้
"เอ้า เอาไปใช้ โตแล้วนี่นะ ทำงานอย่าสะเพร่าซี"
ใครจะเห็นขันหรือไม่ก็ตาม แต่พวกที่เห็นขันก็หัวเราะเบาๆ กันเสียจนตัวงอนี่ก็แสดงว่าคุณมาลัยมีความเมตตากรุณาเพียงใด
ปี พ.ศ.๒๔๘๕ เกิดอุทกภัยน้ำท่วมบ้านเมืองเป็นการใหญ่กว่าทุกครั้งที่ได้เคยมีมาในรอบศตวรรษ ทีแรกรถราก็ยังพอแล่นกันได้ คนยังเดินบุกน้ำมาทำงานกันได้ แต่ต่อมาอีก ระดับน้ำมันสูงขึ้นมาถึงหัวเข่า เลยหัวเข่าจนบางแห่งถึงบั้นเอว ก็สุดที่จะเดินท่องน้ำมาทำงานกันได้ ก็ต้องใช้เรือเป็นพาหนะกันอยู่ทั่วไป ทั้งเรือบดเรือพายเรือจ้างเข้ามาแล่นเอ้อระเหยกันอยู่ตามถนนระยะนี้คุณมาลัยลางานไป ๒-๓ วันไม่มาทำงาน ครั้นวันหนึ่ง ผมโผล่หน้าต่างเยี่ยมหน้าออกไปดูเรือที่สัญจรไปมาตามท้องถนน จากสี่แยกบางขุนพรหมไปตามทางถนนวิสุทธิ์กษัตริย์ ผมก็แลเห็นคุณมาลัยกำลังพายเรือเหยิบมาทีเดียวพร้อมด้วยกระเป๋าเอกสารวางไว้ข้างหน้า
ผมเลยเรียกพรรคพวกให้มาดูเรือคุณมาลัย คนที่วิ่งออกมาดูก็หัวเราะกันครืนไปทีเดียวรูปร่างมันกว้างแต่สั้นม่อต้อ ดูๆ ก็เหมือนเรือลำเอียงพอขึ้นบกหรือไม่ก็เหมือนรองเท้างิ้วที่ทำไว้สำหรับกงเต็ก คุณมาลัยกว่าจะพายมาถึงโรงพิมพ์ได้ก็เหงื่อกาฬแตก เพราะหัวมันทู่เหลือเกิน เมื่อขึ้นมาบนโรงพิมพ์แล้วคุณมาลัยก็ยังอวดเสียอีกว่าท่านเป็นโรบินสัน ครูโซ เสียวันเต็มๆ กว่าจะต่อเรือได้เสร็จ มันมาช้าก็อีตอนยาเรือนี่แหละ กว่ามันจะแห้งและเอาลงน้ำได้ ในเรื่องช่างคุณมาลัย
ถนัดนัก บ้านช่องที่ถนนราชวิถี ถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่ยอมใช้ช่างไม้เลย ลงมือเลื่อยไม้ไสกบและต่อเอาเองทั้งสิ้น
ครั้งหนึ่งเมื่อลูกระเบิดลงหนักชนิดเทกระจาด คุณมาลัยอพยพหลบหนีไปอยู่ในคลองแสนแสบ คุณมาลัยก็ปลูกบ้านพักเอาเองด้วยตัวเองคนเดียวจนกระทั่งเสร็จเรียบร้อยเข้าอาศัยอยู่ได้เป็นอย่างดี ฝ่ายคุณกุหลาบไปเห็นบ้านอพยพของคุณมาลัยในคลองแสนแสบเข้าก็ชอบใจ คุณมาลัยอีกนั่นแหละแสดงตนเป็นนายสถาปนิกสร้างบ้านให้คุณกุหลาบอีกหลังหนึ่ง โดยลงมือเลื่อยไม้ไสกบเองเหมือนกัน เมื่อมีคนไปถามคุณมาลัยว่าเหนื่อยไหม? คุณมาลัยยิ้มน้อยๆ แล้วก็สั่นหน้าออกมาอย่างช้าๆ และลากเสียงตามเคยว่า
"แย่จริง-ให้เราปลูกบ้านให้ด้วยแล้วยังจะต้องแถมออกค่าตะปูไปเสียอีกด้วย" แล้วคุณมาลัยก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดีเป็นทำนองตลกเข้าไป เวลานั้นตะปูไม่ใช่กิโลละ ๙-๑๐ บาทเหมือนอย่างในเวลานี้ หายากที่สุด แพงที่สุด และไม่มีขายในท้องตลาดเสียอีกด้วย
อีกครั้งหนึ่งที่ผมจะเว้นมิได้ที่จะเล่าไว้ เรื่องนี้เป็นเรื่องผจญภัยที่ล่อแหลมครั้งหนึ่งของคุณมาลัย คือคุณมาลัยถูกจี้ในขณะที่นั่งรถไปในรถสามล้อ คุณมาลัยตกใจมากแต่ก็คุมสติไว้ได้มั่นคงทั้งๆ ที่มีดปลายแหลมเล่มเบ้อเร่อจ่ออยู่ที่คอหอย คุณมาลัยจะกลับจากดูหนังหรือกลับจากสนามมวยเวทีราชดำเนินผมลืมไปเสียแล้ว นั่งรถสามล้อถีบไปตามถนนราชดำเนินจนถึงพระบรมรูปทรงม้า แล้วเลี้ยวเข้าหลังพระที่นั่งอนันตสมาคม ตอนที่รถกำลังเลี้ยวครึ่งวงกลมตามรั้วพระที่นั่งอนันต์นั่นเอง คนร้ายก็จู่โจมเข้ามาบังคับรถให้หยุด
ถึงคราวแล้วที่คุณมาลัยจะไปมัวพูดช้าๆ อยู่ไม่ได้ แต่คุณมาลัยคงยังพูดด้วยเสียงเป็นปกติอยู่นั่นเอง อธิบายให้คนจี้ฟังว่า รู้สึกเห็นใจผู้จี้เป็นอย่างมากที่ทำไปดังนี้ก็ด้วยความยากจน เพราะเวลานี้เป็นเวลาสงคราม คราวจนย่อมจะไม่ยอมลดราวาศอกให้แก่ใครๆ ตัวคุณมาลัยเองก็มิใช่ว่าจะร่ำรวยอยู่เมื่อไร ไม่ได้เป็นเศรษฐีสงคราม เลี้ยวมุมตึกนิด หรือยกหูโทรศัพท์กริ๋งเดียวก็ได้กำไรกันเป็นหมื่นเป็นแสน คุณมาลัยทำงานหนังสือพิมพ์เป็นปากเป็นเสียงให้แก่คนจน เราหัวอกอันเดียวกันอย่าทำกันเลย พวกเราไม่มีเงินหรอก มีก็พอกินไปวันๆ หมดแล้วก็หาใหม่ไปเท่านั้น
เมื่อคุณมาลัยเล่ามาถึงตอนนี้ พวกที่โรงพิมพ์คนหนึ่งก็ถามว่า
"แล้วคุณมาลัยให้อะไรมันไปบ้างครับ?"
"ผมล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง" คุณมาลัยเล่าทั้งๆ ที่ปากคาบบุหรี่ "แกไม่ยอมให้ล้วง
แกคิดว่าผมจะควักเอาปืนออกมา ผมก็บอกว่าอ้ายผมน่ะไม่มีปืนกับเขาหรอก ถ้ามีก็คงจะขายไปเสียนานแล้ว แกยอมให้ผมก็ควักเอาบุหรี่ออกมาสองซองแบ่งให้แกซองหนึ่ง ผมเอาไว้ซองหนึ่ง แล้วผมก็บอกให้สามล้อขี่ต่อไป ก็ไม่เห็นแกว่ากระไร"
อภินิหารของการพูดเนิบๆ ของคุณมาลัยก็ทำให้คนร้ายเกิดเมตตาสงสารขึ้นมาได้บ้างเหมือนกัน จี้คุณมาลัยทั้งที่ได้ไปแต่บุหรี่ไพแร็ตซองเดียวเท่านั้น!
มิตรที่ดีนั้นก็ย่อมไม่ทิ้งกันในยามยาก เหมือนภรรยาที่ดีจะเห็นได้ในเมื่อผัวเจ็บป่วยได้ไข้
คุณมาลัยเป็นมิตรที่ดีของเพื่อนในยามยาก เหมือนภรรยาที่ดีจะเห็นได้ในเมื่อนิสัยของคุณมาลัยในข้อนี้เด่นชัดขึ้นก็ คือว่า ครั้งหนึ่งตำรวจสันติบาลได้มาล้อมโรงพิมพ์ (ประชามิตร) เวลานั้นยังเช้าอยู่
ผมเองก็เกิดเป็นคนขยันขึ้นมาไปทำงานแต่เช้า เลยถูกกักตัวอยู่ในโรงพิมพ์ด้วย พวกที่มาทำงานทีหลังก็เลยไม่เข้าโรงพิมพ์ ไปคอยกันอยู่ในร้านกาแฟที่สี่แยก เจ้าหน้าที่ไปตรวจค้นเอกสารในโรงพิมพ์ทั้งหมด โดยเฉพาะในห้องคุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ คุณกุหลาบสั่งให้ผมไปคอยดูในเวลาค้น
ถ้าเห็นตำรวจเอาเอกสารอะไรใส่ลงไปให้ผมจัดการคัดค้านหรือเอะอะขึ้น ผมก็ตามตำรวจไปทุกย่างก้าว คอยสังเกตการณ์ดูว่าจะใส่อะไรเข้าไปบ้างหรือเปล่า เป็นอันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจค้นอะไรอันจะเป็นหลักฐานในทางการเมืองไม่ได้เลย แต่คุณกุหลาบถูกนำตัวไปขังไว้ที่สถานีตำรวจพระราชวัง
เวลานั้นคุณมาลัยหายไป ๒-๓ วัน ไม่รู้ว่าไปไหน หลายคนก็ได้แต่รำพึงคะนึงกันอยู่แต่ในใจว่า คุณมาลัยอาจกลัวเป็นปลาติดหลังแหไปด้วยก็ได้ บ้างก็ว่าคุณมาลัยอาจกำลังวิ่งเต้นช่วยเหลือคุณกุหลาบก็ได้ ประการแรกอาจผิดแต่ประการหลังถูกอย่างไม่มีปัญหาเลย คุณมาลัยไปวิ่งเต้นช่วยเหลือคุณกุหลาบจริงๆ พวกเราไม่รู้กันว่า แต่ปางหลังครั้งจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ยังเป็นทหารร้อยโททหารปืนใหญ่อยู่นั้น เคยเช่าบ้านอยู่ในแพร่สรรพศาสตร์ ซึ่งเผอิญเหลือเกินที่คุณมาลัยก็เช่าบ้านอยู่ในแพร่งนั้นด้วย คุณมาลัยจึงชอบพอกับท่านผู้หญิงละเอียดแต่ครั้งยังเป็นคุณนายอยู่เป็นอันดี แต่ต่อมาเมื่อคุณนายละเอียดมีฐานะอันสูงส่งเป็นสตรีหมายเลข ๑ ของประเทศไทย คุณมาลัยก็ไม่เคยได้เข้าไปยุ่งหรือสุงสิงด้วยเลย คราวนี้คุณมาลัยต้องเข้าไปหา เทียวไปพบอยู่หลายวัน
ในที่สุดก็ได้พบ ท่านผู้หญิงละเอียดจึงรับปากว่าจะช่วยเหลือ แต่ขอให้รอไปก่อนสัก ๒-๓ วัน
วันนั้นบ่ายแล้ว คุณมาลัยมาที่สำนักงานแล้วสั่งผมให้ไปเยี่ยมคุณกุหลาบ ซึ่งผมก็ได้ไปเยี่ยมอยู่แล้วทุกๆวัน บอกให้ผมไปบอกคุณกุหลาบว่าไม่ต้องตกใจได้เข้าไปพบท่านผู้หญิงละเอียดมาแล้ว
ขอให้รอไปอีกสัก ๒-๓ วัน
ผมไปถึง ส.น.พระราชวัง ก็ได้เห็นคุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ กำลังร้องให้อยู่ในห้องขัง ไม่ใช่ร้องไห้เพราะทนความลำบากตรากตรำไม่ไหว หรือไม่อาจทนทานต่อความข่มขื่นในที่คุมขังได้ คุณกุหลาบร้องไห้เพราะสมผล (เดี๋ยวนี้เป็นบรรณาธิการหนังสือหมัดๆ มวยๆ) ซึ่งทำงานในโรงพิมพ์ อุตส่าห์เอาลูกเงาะไปเยี่ยมด้วยความรักใคร่นับถือ แต่ตำรวจไม่อนุญาตให้นำลูกเงาะเข้าไปในห้องขัง เกรงจะมีของร้ายซุกซ่อนอยู่ เป็นต้นว่าเอกสารหรือยาพิษ
เมื่อผมไปถึง ผมก็พูดกับคุณกุหลาบ พูดได้ ๓ คำก็ถูกห้าม
"จะพูดกับผู้ต้องขังไม่ได้ ถ้าจะพูดก็ต้องพูดดังๆ ให้ตำรวจได้ยินด้วย"
ผมก็เลยพูดดังๆ พอที่จะได้ยินได้ทุกคนภายในห้องโถงนั้น
"คุณกุหลาบครับ คุณมาลัยให้มาบอกว่าไม่ต้องตกใจ คุณมาลัยได้ไปพบท่านผู้หญิงละเอียดมาแล้ว ท่านรับปากว่าจะช่วย แต่ขอให้ทนเอาอีกสัก ๒-๓ วัน--"
ผลแห่งการพูดดังๆ ของผมก็ทำให้คุณกุหลาบค่อยหายใจหายคอคล่องขึ้น เพราะว่าอิทธิพล
ในคำว่าท่านผู้หญิงแต่เพียงคำเดียวเท่านั้น ซึ่งมันอาจแผ่ขยายเข้าไปได้จนถึงรูหนู และซอกเล็กมุมน้อยทุกแห่งหนไป เพราะท่านเป็นศรีภริยาของผู้นำ ครั้นแล้วคุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ ก็ได้รับเสรีภาพอิสรภาพ หลุดออกมาจากห้องขังได้อีกครั้งหนึ่ง
ในทางดนตรี คุณมาลัยถนัดดนตรีไทย เครื่องมือที่ถนัดที่สุดคือซออู้ รองลงมาก็คือไวโอลิน
ดังนั้นเมื่อเวลาบรรยายถึงเสียงดนตรีจึงทำได้ถนัดมาก จนกระทั่งเมื่อพระเอกสีซอ ใบไม้ถึงกับพลิกใบของมันเป็นต้น ในเรื่องหมัดๆ มวยๆ ก็โปรดปรานมาก แต่จะได้ขึ้นชกมวยนักเรียนหรือเปล่าไม่ปรากฏ เคยตั้งฉายานักมวยไว้มากต่อมากเช่นกัน ฉายาของถวัลย์ วงเทเวศร์ว่าอ้ายตื้อ ตั้งฉายา
ประยุทธ อุดมศักดิ์ว่าสุภาพบุรุษประยุทธ ตั้งฉายาศุขว่ายักษ์สุข คนเขียนกีฬามวยก็ได้อาศัยใช้ตามอยู่เสมอ
ครั้งหนึ่งคุณมาลัยเดินออกมาหาผม
"คุณมาน้าด-ผมอยากได้รายงานจีฉ่างชกกับยัง หาญทะเล ช่วยไปค้นให้สักที"
ผมรีบจับรถบึ่งไปหอสมุด ขอเจ้าหน้าที่ดูหนังสือพิมพ์เดลิเมล์ พ.ศ. ๖๓-๖๔ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นปีไหน ? จีฉ่างคนนี้เป็นนักมวยจีน ก่อนชกก็เล่าลือกันนักว่าใช้นิ้ว ๒ นิ้วเป็นอาวุธ
สามารถที่จะใช้นิ้วคู่นั้นเลียะแผ่นอิฐที่วางซ้อนกัน ๕-๖ แผ่นแตกหมด เมื่อผมค้นพบข่าวมวยนั้น
เข้าแล้ว ก็เห็นว่าจีฉ่างชกกับยังหาญทะเลไม่ถึงยก ยังหาญทะเลก็แตะเอาจีฉ่างลงไปนอนกองอยู่กับ
ผืนผ้าใบนับเท่าไรไม่ลุก ผมลอกถ้อยคำทุกตัวอักษรเอามาให้คุณมาลัย คุณมาลัยเขียนข้อความตามที่ผมคัดเอามาไม่ถึงครึ่งคอลัมน์นั่นเองเสียเป็นวรรคเป็นเวรหลายฉบับติดต่อกันจนหระทั่งจบลง
ผมได้ทำงานกับท่านอย่างผู้น้อย ๒-๓ ปีเท่านั้น ก็ไม่เห็นว่าชีวิตคุณมาลัยด่างพร้อยแต่อย่างใด คุณมาลัยเคยหันเหชีวิตไปในทางกสิกรออกไปทำสวนมะพร้าวที่พนังตักจังหวัดชุมพร แต่แล้ว
ก็ต้องหันกลับมาสู่หนังสือพิมพ์อีกพาชีวิตขึ้นไปสูงส่งแล้วก็ดับวูบลงไปอย่างไม่ได้นึกฝัน สิ่งที่ผม
เศร้าใจก็คือคุณมาลัยไม่รู้เลยว่าตัวนั้นเป็นโรคมะเร็งที่ปอด หมอกับญาติพี่น้องเท่านั้นที่รู้ สำหรับคุณมาลัย คงคิดแต่ว่าตัวท่านเองเป็นไข้หวัดมาจากเชียงใหม่
ผมเองเคยถูกคุณมาลัยสัพยอกหลายครั้ง ครั้งหนึ่งว่าผมอดเหล้า แต่พอเมียเผลอผมเข้าไปกินน้ำหอม อีกครั้งหนึ่งผมเอากล้วยไม้ไปให้ ๑๒ กระเช้า คุณมาลัยก็ล้อในคอลัมน์ของท่านว่า
ผมเลี้ยงกล้วยไม้โดยใช้ใบกระท่อมเป็นปุ๋ยดังนี้เป็นต้น
ครั้งหนึ่งคุณมาลัยถูกล้อจากนักเขียนอ่อนอาวุโสกว่า คุณมาลัยกลับยิ้มแล้วตอบว่า
"คนอ่านเขารู้ครับ! ว่าอะไรจริงหรือไม่จริง ผลที่สุดเขานั่นแหละจะแย่เพราะไม่รู้อะไรจริงแล้วเขียนลงไป--" อย่างโกรธของคุณมาลัยก็มีอยู่แค่นี้เอง
ผมขอให้คุณมาลัยจงไปเป็นสุขในภพที่เราไม่อาจแลเห็นได้ด้วยสายตา นอกจากความคิดและคำนึงถึง |