มันเป็นวันสิ้นของเดือนกรกฎาคม ๒๕๐๖ ถ้าความจำของข้าพเจ้าจะไม่เลวจนเกินไป ตั้งแต่สายของวันนั้น ข้าพเจ้ากับเฉลิม วิเศษรัตน์ ประธานกรรมการจัดทำวารสาร สนท.ปีนี้
ห้อเฟี๊ยต ๑๑๐๐ สีเทาคู่ยากของเขาออกตระเวนหา “ต้นฉบับ” กันอย่างคร่ำเคร่ง เมื่อผ่านอาคารอันนโอ่โถงหรูหราของบริษัทไทยพณิชยการ เจ้าของพิมพ์ไทย สยามนิกร และสยามสมัย ซึ่งย้ายจาก
วิกสีลมมาตั้งอยู่ถนนดินแดง ปากซอยอรรณพนฤมิตรเมื่อเวลาใกล้เที่ยง ข้าพเจ้าบอกให้เฉลิมหยุดรถ พร้อมกับบอกเขาว่า
“แวะหาคุณครูมาลัยเดี๋ยว”
เป็นที่รู้จักกันอยู่ระหว่างข้าพเจ้ากับเฉลิม ว่าการแวะหาคุณครูมาลัยนั้น หมายถึง “ต้นฉบับ” สำหรับ “วารสาร สนท.” ที่คุณครูมาลัยรับปากกับเฉลิมไว้ว่าจะมอบให้สัก ๒ เรื่อง
ขณะที่เราทั้งสองลงจากรถ จะข้ามสะพานไม้ซึ่งทอดข้ามคูไปสู่ตัวอาคารอันหรูหราของบริษัทไทยพณิชยการ ก็พอดี คุณไชยยงค์ ชวลิต ผู้อำนวยการของบริษัทไทยพณิชยการ และคณะอีก ๒-๓ คน กำลังข้ามสะพานไม้มาพอดี พอเห็นข้าพเจ้ากับเฉลิม ก็ให้การทักทายเป็นอันดีพร้อมกับถามว่า
“จะมาหาใครครับ?”
“คุณครูมาลัยอยู่หรือเปล่าครับ?” ข้าพเจ้าสวนคำถามเข้าไป
“ไม่อยู่หรอกครับ...ป่วย” คุณไชยยงค์ตอบพร้อมกับยิ้มอย่างอารมณ์ดี “มีธุระอะไรหรือครับ?”
“ตั้งใจจะมาเอาต้นฉบับให้วารสารสนท. เพราะคุณครูบอกให้ไว้” เฉลิมตอบแทนข้าพเจ้า
ท่านผู้อำนวยการ บริษัทไทยพณิชยการหัวเราะด้วยอารมณ์ดีเช่นเคย พร้อมกับส่ายหน้า “โฮ้ย!...ไม่สำเร็จหรอกคุณ ขนาดจะต้องลางานผมเป็นเดือนๆ เรื่องต้นฉบับจากครูขอให้ถือว่าเป็นอันสละสิทธิ์ได้”
เป็นคำยืนยันอย่างหนักแน่นของคุณไชยยงค์ ก่อนที่จะแยกจากข้าพเจ้าและเฉลิมไป
เป็นอันว่าข้าพเจ้าและเฉลิมไม่ได้ต้นฉบับของคุณครูมาลัยสำหรับวารสารสนท. ฉบับแรกของปี ๒๕๐๖ และก็ไม่เคยคาดฝันแม้สักนิดว่าวารสารสนท. ฉบับต่อๆ ไป เราก็ไม่มีโอกาสจะได้ต้นฉบับจากคุณครูมาลัยอีกแล้ว...
“ไปเยี่ยมครูที่บ้านราชวิถีกันดีไหม?”
เฉลิมเอ่ยชวนข้าพเจ้าขระที่สตาร์ทเจ้าเฟี๊ยต ๑๑๐๐ ออกไปจากหน้าอาหารอันโออ่าของบริษัทไทยพณิชยการ
“ดีเหมือนกัน” ข้าพเจ้าคล้อยตามพลางนึกไปถึงความเจ็บไข้ได้ป่วยของครู ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยได้วี่แววมาก่อนเลย วัยร่วม ๖๐ ของคุณครูมาลัยยังแข็งแรงสมาร์ท เหมือนคนในวัย ๔๐
แต่แล้ววันนั้น... วันต่อๆ มา ด้วยธุระยุ่งๆ ของเรา ๒ คน คือข้าพเจ้าและเฉลิม ก็ยังไม่มีโอกาสที่จะได้ไปเยี่ยมครู ตราบจนข้าพเจ้าได้ข่าวว่าคุณครูมาลัยต้องจากกระท่อม ป.ล. ที่ราชวิถีเข้าไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และแพทย์ห้ามเยี่ยม ข้าพเจ้ากับเฉลิมก็ยังมีความหวังกันอยู่ว่า พอแพทย์เปิดโอกาสให้เยี่ยมได้เมื่อไร เราจะไปเยี่ยมกันทันที
กระทั่งเช้าวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๐๖ ข้าพเจ้าออกเดินทางมาจากบ้านพักที่จังหวัดเพชรบุรีโดยรถยนต์โดยสารของบริษัทขนส่ง และได้มาถึงสถานีขนส่งสายใต้ ที่สามแยกไฟฉาย ธนบุรี เมื่อเวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. พอลงจากรถ ข้าพเจ้าก็เตร่ไปดูหนังสือพิมพ์ที่วางจำหน่ายอยู่ที่ร้านในบริเวณนั้น สิ่งที่สะดุดตาข้าพเจ้าถึงกับงงงันไปชั่วครู่ก็คือพาดหัว “สารเสรี” ๘ คอลัมน์เต็มเหยียดพื้นดำขาว ขนาดตัวไม้
“นักประพันธ์เอกชื่อก้อง “มาลัย ชูพินิจ” สิ้นชีพ”
ข้าพเจ้าเดินมาขึ้นรถโดยสารข้ามฟากมาฝั่งพระนครด้วยอารมณ์อันสลดหดหู่ในใจ เพราะใจจริงข้าพเจ้า นับแต่เดินทางออกจากจังหวัดเพชรบุรีมาก็ได้ตั้งเตจำนงไว้ว่า เสร็จธุรกิจเกี่ยวแก่วารสาร สนท.ในวันนี้แล้ว จะชวนเฉลิมไปเซ็นชื่อเยี่ยมคุณครูมาลัยที่โรงพยาบาล แต่อนิจจา...เจตจำนงของข้าพเจ้าสายไปเสียแล้ว!
ขณะนั่งรถโดยสารไปสู่ปลายทาง ภวังค์ของข้าพเจ้าหวนกลับคืนไปสู่อดีต เมื่อ ๓๕ ปีที่ผ่านมา มันไม่ใช่เวลาอันเล็กน้อยเลยในวันอันยาวนานถึง ๓๕ ปีเช่นนั้น !
พ.ศ.๒๔๗๑ ข้าพเจ้าเป็นนักเรียนปีสุดท้ายของ ร.ร.มัธยมวัดสระเกศ ไม่ใช่มัธยม ๖ หรือ ๘
แต่เป็นชั้นมัธยมปีที่ ๓ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุด ของ ร.ร.มัธยมวัดสระเกศในขณะนั้น โดยเรียนอยู่ที่เรือน “ ศรียาภัย ” ใกล้ทางรถรางสายรอบเมือง (เยื้องตรงข้ามสำนักงาน น.ส.พ.ชาวไทย)
สุภาพบุรุษหนุ่มน้อยวัยไม่เกิน ๒๒ ปี นุ่งผ้าม่วงสีน้ำเงิน สวมเสื้อนอกสีขาวสะอาดคอปิด กระดุม ๕ เม็ด สวมถุงเท้าใยบัวสีขาว รองเท้าสีดำหัวมันปลาบ หวีผมเป๋เรียบเป็นเงางามเหนือใบหน้าที่ค่อนข้างเก๋เหมือนดาราหนังไทยในยุคปัจจุบัน ดวงตาบ่งบอกความเข้มแข็งอยู่เหนืออารมณ์อันเยือกเย็น สุภาพบุรุษหนุ่มน้อยผู้นี้คือ ครูประจำชั้นข้าพเจ้า ผู้ซึ่งมีนามว่า มาลัย ชูพินิจ
ในชีวิตการเป็นครูของครูมาลัย ชูพินิจ ที่ ร.ร.มัธยมวัดสระเกศ เท่าที่พอจะจำได้ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นความกราดเกรี้ยว หรือการเฆี่ยนตีศิษย์ของคุณครูมาลัยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ที่ข้าพเจ้าจำได้สนิทนักก็คือในวันหนึ่งอันเป็นชั่วโมงอ่านอังกฤษ ขณะที่คุณครูมาลัยชี้ให้นักเรียนคนโน้นคนนี้อ่านกันอยู่ขะมักเขม้น แต่ข้าพเจ้ากลับนั่งลอกต้นฉบับที่เพื่อนๆ เขียนส่งมาให้เพื่อลงวารสารประจำห้องอยู่อย่างเพลิดเพลินเจริญใจ
“แฉล้มอ่าน” เสียงคุณครูมาลัยกังวานขึ้น
ข้าพเจ้าสะดุ้งโหยง ลุกขึ้นหยิบหนังสืออ่านที่แบหราอยู่บนโต๊ะยืนขึ้นเหลียวไปข้างหลังและข้างๆ ซึ่งมี ถนอม หรือ อิทธิพล รัตจินดา (ปัจจุบันเป็นพ่อค้าอยู่กบินทร์บุรี) ม.ล.ปีย์ มาลากุล (ปัจจุบันเป็นเลขานุการในพระองค์) วงศ์ เรืองฤทธิ์ (ถึงแก่กรรม) สนิท พานโพธิ์ทอง ฯลฯ เพื่อที่จะอาศัยถามเขาว่าอ่านไปถึงไหนกันแล้ว แต่แววตาของคุณครูมาลัยที่จ้องอยู่ทำเอาเพื่อนฝูงที่นั่งอยู่ข้างๆ พากันขยาดไม่กล้าบอก เสียงเพื่อนฝูงหัวเราะกันครึกครื้น เมื่อคุณครูมาลัยทิ้งท้ายบอกข้าพเจ้าว่า
“ยืนดูอยู่เช่นนั้นก่อน”
หลังจากที่คุณครูมาลัยได้บอกให้นักเรียนแต่ละคนอ่านจนทั่วถ้วนหมดทั้งห้องแล้ว จึงได้บอกให้ข้าพเจ้าอ่านเป็นคนสุดท้าย พอข้าพเจ้าเสร็จเรียบร้อย คุณครูมาลัยก็ได้ออกคำสั่งให้ข้าพเจ้า
นั่งสะดุ้งเล่นว่า
“พักกลางวันนี้อย่าเพิ่งออก รอพบครูก่อน”
พอข้าพเจ้าลงนั่งก็ค่อยๆ เปิดลิ้นชักโต๊ะเรียนเก็บต้นฉบับและวารสารประจำห้องเข้าโต๊ะอย่างระมัดระวังที่จะไม่ให้คุณครูมาลัยเห็นเข้า เพราะเกรงจะถูกเก็บเอาไปเสีย จะต้องเสียเวลานั่งลอกใหม่มือบวมแน่ จากนั้นก็จินตนาการเอาว่า “น่ากลัวกลางวันวันนี้อาตมาเห็นจะไม่แคล้วป้าบสองป้าย อย่างชั้นชั่วๆ ก็เห็นจะต้องนั่งอดอาหารกลางวันอยู่ในห้องเรียนนี่เสียเป็นแน่แล้ว”
เสียงระฆังทองเหลืองตีบอกเวลาหยุดพักกลางวัน บรรดาเพื่อนๆ พากันออกจากห้องเรียนไปรับประทานอาหารกลางวันกันจนหมด ในห้องคงมืดแต่ข้าพเจ้าซึ่งนั่งท่องคาถาแคล้วคลาดอยู่ด้วยหัวใจระทึก กับคุณครูมาลัยซึ่งกำลังนั่งตรวจงานอยู่ พอครูมาลับวางปากกาเงยหน้าขึ้น ข้าพเจ้ายิ่งระดมว่าคาถาแคล้วคลาดอยู่ในใจยิ่งขึ้น แต่พอเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคุณครู กำลังใจของข้าพเจ้าดีขึ้นมาอย่างประหลาด ทึกทักเอาว่าคาถาแคล้วคลาดของหลวงพ่อโตที่ภูเขาทองนี่ช่างศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน คุณครูยิ้มมาก่อนแบบนี้เห็นจะไม่เป็นไรแน่
พอคุณครูมาลัยพยักหน้าเรียกให้ไปหาที่โต๊ะ ข้าพเจ้าก็ออกไปคำนับและยืนสำรวมรอฟังคำสั่งอยู่อย่างสงบ
“หมู่นี้ดูไม่ใคร่เอาใจใส่การเรียนเลยนี่” คุณครูพูดช้าๆ ด้วยใบหน้าทั้งยังยิ้มๆ อยู่
“ปละ.....เปล่า.....ครับ” ข้าพเจ้าปฏิเสธชุ่ยๆ ออกไปอย่างที่ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
“เปล่าอะไรกัน ครูสังเกตดูมาหลายวันแล้ว” เสียงของคุณครูค่อนข้างจะดังขึ้นอีกนิดที่เห็นข้าพเจ้าปฏิเสธเอาดื้อๆ “ถึงชั่วโมงอ่านอังกฤษทีไรเห็นลอกอะไรง่วน จดอะไรไม่ทันยังงั้นรึ”
“เปล่าครับ” ข้าพเจ้ายืนกระต่ายขาเดียว
“ไปหยิบเอามาดูซิ ที่เขียนอะไรอยู่เมื่อกี้นี้น่ะ”
คำสั่งของคุณครูมาลัยคราวนี้ ทำเอาข้าพเจ้าใจเต้นไม่เป็นกระบวน กลัวต้นฉบับและวารสารประจำห้องที่เพื่อนอุตส่าห์เขียนมาให้ข้าพเจ้าลอกจะถูกรีบจะหยิบเอาสมุดจดวิชาอย่างอื่นไปให้ ก็เกรงจะถูกจับได้ว่าโกหก เรื่องจะไปกันใหญ่ แข็งอกแข็งใจเดินก้มหน้างุดๆ ไปที่โต๊ะของข้าพเจ้า หยิบเอาต้นฉบับที่เพื่อนๆ เขียนมา และข้าพเจ้าอุตส่าห์ลงทุนแรงนั่งลอกเลียนแทบล้มประดาตาย มายื่นส่งให้คุณครูมาลัยด้วยหัวใจเต้นรัวเหมือนถูกโหมด้วยกลองใบใหญ่
คุณครูมาลัยรับสิ่งที่ข้าพเจ้ายื่นให้ทั้งหมดวางไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบวารสารที่ข้าพเจ้าพยายามจัดทำให้หรูหราที่สุดเท่าที่ความรู้ความสามารถในวัยเช่นนั้นจะทำได้ ค่อยๆพลิกดูทีละหน้าๆ จากนั้นก็ยืดอกตัวตรงพิงหนักเก้าอี้ ระบายยิ้มอยู่บนใบหน้าชัดเจน
“ยังงี้เองนี่เล่า ถึงไม่ค่อยตั้งใจเรียน ทีหลัง...” คุณครูมาลัยหยุดไว้นิดหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง “งานอย่างนี้เอาไว้ทำนอกเวลาเรียน เข้าใจไหม”
ใจข้าพเจ้ามาเป็นกระบุง พร้อมกับตอบสั้นๆว่า “ครับ”
พร้อมกันนั้น คุณครูมาลัยก็ยื่นต้นฉบับ พร้อมทั้งตัวฉบับวารสาร ที่ข้าพเจ้าใช้วิธีเขียนเอาแทนการพิมพ์ส่งให้ ข้าพเจ้ายื่นมือไปรับกลับคืนมาด้วยหัวใจอันปิติ พร้อมกับโค้งลงคำนับอย่าง
งาม และก่อนที่ข้าพเจ้าจะกลับหลังหันไปที่โต๊ะข้าพเจ้า คุณครูมาลัยได้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า
“เย็นนี้ครูจะให้สักเรื่อง”
รถโดยสารของบริษัทขนส่งสายใต้พาข้าพเจ้ามาถึงจุดหมายที่การไฟฟ้านครหลวงวัดเลียบ
พร้อมกับอดีตของข้าพเจ้าที่เรือน “ศรียาภัย” ร.ร.มัธยมวัดสระเกศเมื่อ ๓๕ ปีล่วงมาแล้ววูบหายไป
แต่สำนึกของข้าพเจ้าในขณะนั้น ยังครุ่นคำนึงอยู่ว่า จะทำอย่างไรดีถึงจะมีโอกาสได้ไปรดน้ำศพคุณครูมาลัยในเย็นวันนั้นที่วัดมกุฏกษัตริยาราม ทั้งนี้เพราะข้าพเจ้าไม่ได้คาดหมายมาก่อนว่าจะต้องมาประสบกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของคุณครู ข้าพเจ้าจึงไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับเครื่องแต่งกายที่จะไปรดน้ำศพคุณครูอย่างสมเกียรติ แต่แล้วภายหลังที่ข้าพเจ้าได้พบคุณประกาศ
วัชราภรณ์ ผู้ช่วยบรรณาธิการ น.ส.พ.สารเสรีพิเศษที่สำนักงานหนังสือพิมพ์สารเสรี-ไทยรายวันในตอนกลางวัน ข้าพเจ้าก็ตัดสินใจที่จะไปคารวะศพคุณครูเป็นครั้งสุดท้ายในตอนเย็นที่วัดมกุฏกษัตริย์ฯ เพราะคุณประกาศบอกว่า
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ชุดที่สวมนี่ก็เรียบร้อยแล้วละ”
ขณะนั้น ข้าพเจ้าอยู่ในชุดกางเกงสีน้ำเงินแก่ เสื้อเชิ้ตขาวเขนยาว และผูกไทดำ
มีเรื่องที่น่าสงสัยสำหรับข้าพเจ้าอยู่เรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับประวัติของคุณครูมาลัยที่ข้าพเจ้าพบเห็นในหนังสือพิมพ์ทั่วๆ ไป เป็นความสงสัยไม่สามารถจะเก็บไว้ได้ เพราะข้าพเจ้าเชื่อว่าความจำของข้าพเจ้าไม่ผิด ทั้งนี้เกี่ยวกับตอนที่ว่า
“คุณครูมาลัย ชูพินิจ เกิดวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๔๔๙ สิริรวมอายุได้ ๕๗ ปี ศิษย์เก่าของ ร.ร.เทพศิรินทร์ ร.ร.บพิตรพิมุข และสวนกุหลาบ เรียนจบม.๘ เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๗ ร.ร.สวนกุหลาบ ได้เป็นคุณครูอยู่ ๒ ปี ที่ ร.ร.วัดสระเกศ”
จากข้อความดังกล่าวข้างต้น ก็ย่อมหมายถึงว่า คุณครูมาลัย สำเร็จจาก ร.ร.สวนกุหลาบเมื่อ
พ.ศ.๒๔๖๗ แล้วไปเป็นครูที่ ร.ร.วัดสระเกศอยู่ ๒ ปี (หมายถึง พ.ศ.๒๔๖๘-๒๔๖๙) แล้วก็ขอลาออก ถ้าเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าก็เห็นจะไม่ใช่ศิษย์ของคุณครูมาลัยแน่ เพราะคุณครูมาลัยสอนข้าพเจ้าที่เรียน “ศรียาภัย” ร.ร.มัธยมวัดสระเกศนั้นเป็น พ.ศ.๒๔๗๑ ซึ่งระหว่างนั้น ขุนซำนิอนุสาส์น (เสง
เล่าหะจินดา) อดีตผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการเป็นครูใหญ่ ถ้าข้าพเจ้าไม่ผิดก็เห็นจะสืบต่อจากคุณหลวงพร้อมพิทยาคุณ เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๐ ข้อสงสัยของข้าพเจ้าเข้าใจว่า คุณครูมาลัยนั้นจะต้องเป็นครูที่ ร.ร.วัดสระเกศระหว่าง พ.ศ.๒๔๖๗ ถึง พ.ศ. ๒๔๗๑ เพราะในปี ๒๔๗๒ นั้น ข้าพเจ้าไปเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมปีที่ ๔ เป็นศิษย์ของอาจารย์ เอื้อ บุศประเกศ ที่ ร.ร.บพิตรพิมุข ซึ่งคุณครูมาลัย
เคยเป็นศิษย์เก่าที่นั่นมาเหมือนกัน
ข้าพเจ้าจำได้ว่า เมื่อข้าพเจ้าจับงานหนังสือพิมพ์อย่างจริงจังเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๑ โดยเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์รายวันผดุงชาติ ซึ่งตั้งอยู่ที่สี่กั๊กเสาชิงช้าตรงหัวโค้งรถรางเลี้ยวไปสะพานช้างโรงสีนั้น คุณครูมาลัยกำลังจะผละงานหนังสือพิมพ์ที่สำนักงาน “ประชาชาติ” ไปทำไร่ถั่วเหลืองที่หัวหิน แต่แล้วคุณครูไปทำไร่อยู่ไม่นาน ทนความเรียกร้องของกลิ่นหมึกพิมพ์อยู่ไม่ไหวก็หวนกลับมาสร้างค่ายใหญ่ขึ้นที่โรงพิมพ์อักษรนิติ สี่แยกบางขุนพรหมอันเป็นของขุนวรกิจบรรหาร โดยออกหนังสือพิมพ์รายวัน “ประชามิตร” ขึ้น โดยคุณครูมาลัยเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการ
และต่อมา ณ สถานที่แห่งเดียวกัน ก็ได้ออกหนังสือพิมพ์ “สุภาพบุรุษ” อีกฉบับหนึ่ง ซึ่งภายหลัง
คุณครูก็ได้เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ทั้ง ๒ ฉบับนี้
ระหว่างที่คุณครูมาลัยอยู่ที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ประชามิตร-สุภาพบุรุษ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสแวะไปเยี่ยมเยียนเพื่อนฝูงที่นั่น แต่ละครั้งก็มักจะพบคุณครูเสมอและก็ได้รับการถามไถ่
เรื่องงานการ ข้าพเจ้าก็ได้เรียนให้คุณครูทราบว่าข้าพเจ้าเองก็ไม่สามารถที่จะสลัดดกลิ่นหมึกพิมพ์
ออกไปให้พ้นตัวได้ทั้งๆ ที่ไปรับราชการและเข้าทำงานมาหลายต่อหลายแห่ง แต่ในที่สุดก็อดพิสมัยต่อเสียงฉับแกระและกองกระดาษไม่ได้
คุณครูคงได้แต่หัวเราะ เมื่อข้าพเจ้าบอกออกไปตรงๆ เช่นนั้น และก็เชื่อว่าคุณครูคงจะเข้าใจอุปนิสัยของข้าพเจ้าดีในระหว่างที่เป็นครูข้าพเจ้าอยู่ที่ ร.ร.มัธยมวัดสระเกศ จากนั้นต่อมาเมื่อคุณครูมาร่วมกับคุณอารีย์ ลีวีระก่อตั้งบริษัทไทยพณิชยการ ออกหนังสือพิมพ์ “พิมพ์ไทย” กับ
“สยามนิกร” เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๐ ที่สีลม ซึ่งขณะนั้นข้าพเจ้าประจำอยู่หนังสือพิมพ์ศรีกรุง นานๆ ครั้งจึงจะมีโอกาสได้พบกับคุณครูสักครั้งหนึ่ง แต่ละครั้งที่พบคุณครูก็ยังแสดงความปรารถนาดีต่อข้าพเจ้าเรื่อยมา แม้กระทั่งข้าพเจ้าออกจากบริษัทศรีกรุงเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๕ ไปดำเนินงานทำหนังสือพิมพ์เองหลายต่อหลายแห่ง คุณครูมาลัยก็ยังปรารถนาดีต่อข้าพเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง เคยบอกให้ต้นฉบับอยู่เสมอ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ใคร่จะได้ไปรบกวนคุณครู ตราบจนกระทั่งข้าพเจ้าถูกตั้งให้เป็นอนุกรรมการจัดทำวารสาร สนท. ปีนี้ พอจะไปรบกวน มัจจุราชก็ชิงชีวิตคุณครูมาลัยไปเสียก่อน ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้แต่คิดคำนึงอยู่ว่า “บุญข้าพเจ้าคงจะไม่ถึง” ที่จะได้ไปรบกวนคุณครู
ข้าพเจ้าเขียนเรื่อง “คุณครูมาลัย” เป็นคุรุบูชา ในฐานะที่คุณครูมาลัยได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้สามัญในขั้นต้นให้แก่ข้าพเจ้าที่ ร.ร.มัธยมวัดสระเกศ ไม่ใช่ในฐานะผู้ร่วมวิชาชีพหนังสือพิมพ์หรือในฐานะอุปนายกสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ที่คุณครูดำรงตำแหน่ง
มาหลายยุคหลายสมัย และก็ไม่ใช่ในฐานะศิษย์เก่าของ “บพิตรพิมุข” อีกด้วย
ถึงมรณกรรมของคุณครูมาลัย ชูพินิจ นักประพันธ์, นักหนังสือพิมพ์และนักสังคมสงเคราะห์อาวุโส แม้ว่าจะเป็นที่เศร้าและอาลัยกันอยู่ทั่วไปในหมู่ญาติมิตรหายตลอดจนผู้คุ้นเคยและศิษย์เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อได้คำนึงถึงว่าทุกรูปทุกนาม เมื่อเกิดเป็นตัวตนมาแล้ว ก็ย่อมแตก
สลายไปในที่สุด คงเหลือไว้แต่นามให้เป็นที่ทรงจำกันต่อไปเท่านั้น สมดังพุทธภาษิตที่ว่า
"รูปชีวรติมจฺจานํ นามโคตตฺตํ น ชีรติ" ซึ่งแปลว่า "รูปของสัตว์ทั้งหลายย่อมย่อยยับไปส่วนชื่อและ
โคตรหาย่อยยับไม่"
|