พ่อของฉันเป็นผู้ชายไทยร่างสันทัต ผิวเนื้อสองสีค่อนข้างคล้ำ และ มีอารมณ์ดีอยู่เสมอ พ่อพูดจาไพเราะ ช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ ไม่เคยมีใครเห็นพ่อดุใคร ต่อให้โกรธสักเพียงไหนก็ตาม หากว่ามองด้วยสายตาเย็นชาแล้ว ผู้ทำผิดยังไม่รู้สึกตัว พ่อก็จะกล่าวจตักเดือนด้วยน้ำเสียงเรียบๆ มีเหตุมีผล จนผู้ฟังเกิดความเลื่อมใสศรัทธา และไม่อยากทำอะไรให้พ่อต้องผิดหวังอีกต่อไป อายุของพ่อเข้าวัยกลางคนแล้ว คือประมาณ ๕๐ กว่าปี แต่พ่อยังดูแข็งแรงเพราะพ่อมิได้ปล่อยเวลาว่างให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ หรือเอาแต่หาความสุขใส่ตัวตามประสาคนแก่ คือกินแล้วก็นอน ต่อมาเมื่อรังกล้วยไม้ของเราทรุดโทรมลง เพราะถูกแจกจ่ายไปตามบ้านเพื่อนๆของพ่อและแม่ผู้เพิ่งหัดเล่นใหม่บ้างถูกขโมยยกเค้าไปร่วมร้อยๆ กระถางบ้าง แบ่งขายไปบ้าง เรือนกล้วยไม้ซึ่งมีอยู่เรียงรายเกือบทั่วบ้านก็ถูกรวมมาไว้ยังเรือนใหญ่หน้าบ้านเพียงแห่งเดียว แล้วพ่อก็มอบหน้าที่ “ป้อนข้าว ป้อนน้ำ” กล้วยไม้ให้แม่ต่อไป ส่วนพ่อก็หันมาขลุกอยู่กับตู้หนังสือของพ่อแทน เรื่องหนังสือก็เหมือนกัน พ่อมีตู้หนังสือใหญ่ๆ ถึงสี่ตู้ และขนาดย่อมอีกสาม ส่วนใหญ่เป็นหนังสืออังกฤษดีๆ มีทุกประเภทนับแต่เอ็นไซโคลปีเดีย ประวัติศาสตร์ สารคดี นวนิยาย เรื่องสั้น ฯลฯ สำหรับหนังสือภาษาไทยนั้น คงมีเพียงเรื่องของพ่อ และที่นักประพันธ์อื่นๆ ให้มา ดังนั้น จะเรียกห้องหนังสือบ้านเราว่าห้องสมุดย่อยๆ ก็คงไม่ผิดความจริงนัก เวลาที่ต้องทำงานค้นคว้าส่งอาจารย์ ฉันไม่ต้องไปหาหนังสือจากที่อื่นให้ลำบาก แค่หยิบจากตู้หนังสือของพ่อก็เหลือแหล่ มิหนำซ้ำในบางครั้ง เพื่อนๆ ซึ่งหาหนังสือที่ต้องการไม่ได้จากห้องสมุดอื่นๆ กลับมาค้นเจอในตู้บ้านเราก็บ่อยๆ หนังสือหลายพันเล่มของพ่อนี้ ก็ล้วนแต่ผ่านสายตาพ่อมาแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นพ่อจึงมีความรู้ทุกอย่าง เป็นเสมือนเอ็นไซโคลปีเดียเล่มใหญ่ที่สำคัญที่สุดสำหรับลูกทุกคน และก็พยายามหนักหนาที่จะให้ฉันเป็นคนรักหนังสือเช่นพ่อ หากว่าฉันเป็นเด็กที่เอาถ่านสักนิด ป่านนี้สมองของฉันคงจะหนักอึ้ง เพราะบรรจุอะไรต่ออะไรไว้จนเพียบแปล้ แต่นี่ฉันไม่ได้เป็นลูกประเภทที่นำความชื่นใจมาสู่พ่อแม่เลยจนนิดเดียว เวลาพักผ่อนของพ่ออีกอย่างหนึ่งก็คือเข้าป่า เวลาที่พ่อตรากตรำงานทางด้านสมองมากนัก พ่อก็มักจะผ่อนคลายความตึงเครียดด้วยการโยนเสื้อกางเกงสองสามชุดลงถุงเดินป่าของพ่อ หายเงียบไปสักอาทิตย์สองอาทิตย์ตามแต่เวลาจะมีให้ เมืองกาญจน์บ้าง ป่าแม่วงบ้าง ดงพญาเย็นบ้าง ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่าการที่ต้องไปนอนบนดินชื้นๆ แข็งๆ ท่ามกลางบรรยากาศอันเยือกเย็นและวังเวงของป่าทึบนั้น จะมีความสุขสักเพียงไหน ไหนจะเสียงจักจั่นเรไรกรีดร้อง ไหนจะเสียงคำรามของเสือซึ่งย่องมากินน้ำที่ลำธารใกล้แคมป์ของเรา ไหนจะเสียงช้างร้องฮูมอยู่ชายป่าฟากโน้น หากว่าเป็นฉัน เห็นจะนอนลืมตาโพลงกระสับกระส่ายเร่งให้สว่างเร็วๆ มากกว่า แต่ฉันก็เห็นพ่อกลับจากป่า ด้วยท่าทางสดชื่นกระปรี้กระเปร่าทุกที มิหนำซ้ำชอบดึงฉันเข้าไปกอด พลางแกล้งเกลือกหนวดเคราแข็งๆ อันไม่ได้พบคมมีดมาหลายวัน ลงบนหน้าให้ฉันจั๊กจี้เล่นเสียอีก พ่อกลับจากป่าทีไร เราก็ได้กินเนื้อสัตว์แปลกๆ เช่น เก้ง กวาง กระต่าย หรือหมูป่าบ่อยๆ เนื่องจากสมัยก่อน สัตว์ป่าเหล่านั้นมีอยู่มากมาย ฉันรู้รสชาติของหมูป่าว่าเอร็ดอร่อยเพียงใดจนเบื่อเนื้อหมู เนื้อไก่อยู่นาน บางอาทิตย์ พ่อก็จะพาพี่ชายของฉันไปเที่ยวยิงนกตามท้องนาแถวรังสิตและก็อาจจะเลยไปถึงอยุธยา ฉันก็มักจะติดรถไปด้วย พ่อยิงปืนแม่นมากน้อยนักที่จะพลาดจากเป้า ไม่ว่าจะเป็นเป้าที่มีชีวิตหรือเป้านิ่ง และพี่ชายของฉันก็กำลังจะรับมรดกตกทอดอันนี้จากพ่อ
แม้ว่าพ่อจะอุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้กับงาน แต่พ่อก็มีเวลาสำหรับลูกๆเสมอ วันศุกร์สุดท้ายของเดือน ซึ่งโรงเรียนของฉันปิดติดต่อกันถึงสามวัน พ่อจะรีบเร่งเขียนหนังสือให้เสร็จโดยเร็วที่สุด จากนั้นก็จะทิ้งต้นฉบับเหล่านั้นไว้บนโต๊ะทำงาน เขียนกำกับไว้ว่าแผ่นใดเป็นของหนังสือเล่มใดเพื่อจะได้หยิบส่งให้ผู้มารับได้ถูกต้อง หลังจากนั้นความสุขก็จะเป็นของเรา พ่อ แม่ และลูก เรามักออกเดินทางในตอนเย็นๆ แต่หากว่างานของพ่อยังไม่เสร็จ เวลาก็มักจะเลื่อนไปเป็นเข้าไต้เข้าไฟพอดี เราไปกันตามสบายไม่เร่งรีบ พ่อจะขับรถช้าๆ และก็จะแวะกินโน่นกินนี่ตามแต่เสียงส่วนมาก บางครั้งตรงกับคืนเดือนหงาย พ่อก็จะหยุดรถกลางสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกงร้องบอกว่า “เอ้า! จอดให้ชมแม่น้ำกลางคืนสิบนาที” แล้วพ่อก็จะโอบไหล่ฉันพาเดินไปหยุดยืนริมราวสะพาน ดวงจันทร์เป็นสีเงินยวงลอยคว้างอยู่กลางผืนฟ้ากว้าง แม่น้ำบางปะกงในยามราตรีเช่นนี้ มองดูเป็นมันเลื่อมทอดตัวคดเคี้ยวหายลับไปทางคุ้งน้ำไกลดพ้นอันปกคลุมด้วยแนวต้นจากและแสมเป็นพืด ลมค่ำพัดผ่านอยู่ตลอดเวลาทำให้เย็นชื่นใจ เสียงเพลงจากวิทยุติดรถยนต์ดังแว่วมาเข้าหู ช่างเป็นคืนที่น่าชื่นชมอะไรอย่างนั้น พอพ่อจอดรถ พวกเราก็ช่วยกันลากถุงเดินป่าของพ่อซึ่งติดท้ายรถไว้เสมอเผื่อความฉุกเฉินออกมา พี่ชายของฉันจะเป็นผู้ตอกหลักขึงเต็นท์และกางเตียงสนามสำหรับพ่อ ส่วนแม่และฉัน ตลอดจนพี่ๆ น้องๆ นั้น ผ้าใบเนื้อหนาซึ่งปูลาดไปบนพื้นทรายหน้าเตียงก็เพียงพอแล้ว ระหว่างที่ฉันจัดการดึงผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ออกจากประเป๋าวางเตรียมไว้ แม่และน้องๆ ก็ช่วยกันก่อไฟต้มน้ำร้อน หลังจากทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อย เราก็ได้รับแจกเครื่อมดื่มคนละแก้วพร้อมด้วยขนมปังกรอบ ส่วนตุ๊กตานั้นยังเล็กกว่าเพื่อน แม่จึงชงโอวัลตินให้เป็นพิเศษ คืนนั้นทุกคนหลับสนิทเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเว้นแต่ฉันซึ่งนอนลืมตา หันหน้าออกไปทางทะเลด้วยความกังวลว่าคลื่นจะซัดขึ้นมาถึงที่นอนของเรา มิหนำซ้ำ ลูกตาลซึ่งแก่จัด ยังขยันหล่นจากขั้วดังตุ้บๆ ไม่ได้ขาดระยะ เมื่อบ้านของเราเสร็จเรียบร้อย การเดินทางไปพักผ่อนชายทะเลก็มีระยะถี่กระชันยิ่งขึ้น บ้านของเรามีเนื้อที่ประมาณไร่ครึ่ง ตั้งอยู่บนเนินซึ่งลาดลงสู่ชายหาด ตัวบ้านปลูกเตี้ยๆ มีบันไดเพียงสามขั้น ฝาทำด้วยไม้ซีกซึ่งไม่ได้ไสให้เรียบ คงทิ้งขรุขระระแบบบ้านป่า หลังคามุงจากมีห้องนอนสองห้องเล็กๆเปิดออกสู่ระเบียงซึ่งหันหน้าไปทางทะเล ห้องน้ำหนึ่งห้อง และก็ครัวเท่านั้นเอง ไม่ใหญ่โตหรูหราเช่นบ้านพักชายทะเลของพวกเศรษฐีเงินล้านในปัจจุบันนี้ แต่เราก็มีความภูมิใจเป็นที่สุด เพราะว่ากระดานทุกแผ่น เครื่องใช้ทุกชิ้นในบ้าน ได้มาจากหยาดเหงื่อของพ่อและแม่ “จิ๋ว” เสียงพ่อเรียก และฉันก็ต้องวางหนังสือ ลุกจากเก้าอี้นอนใต้ต้นตะแบกซึ่งออกดอกสีม่วงสะพรั่งมายืนข้างๆ พ่อโอบหลังฉันไว้ชี้ให้ดูเรือใบ ๒-๓ ลำซึ่งคงจะเพิ่งกลับจากหาปลา แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องจับใบสีขาวตัดกับน้ำทะเลสีครามน่าดู ฉับพลัน ฉันก็รู้สึกเสียดายช่วงระยะเวลาแห่งความสุขนี้เหลือเกินจนต้องวิ่งขึ้นบ้านไปฉวยกล้องถ่ายรูปมา จัดการให้พ่อยืนกลางไร่สับปะรดหันหลังให้ทะเล กดแก๊กเข้าให้ และเมื่ออัดรูปออกมา ฉันก็ไม่ผิดหวังเลยจนนิดเดียวแม้จะเป็นภาพถ่ายขาวดำ แต่ฉันกลับเห็นพ่อนุ่งกางเกงขาสั้นสีกากี เสื้อยืดสีฟ้าหม่น ปากคาบบุหรี่ ยืนยิ้มอย่างอารมณ์ดีอยู่กึ่งกลางรูปมีระเบียงและหลังคาจากของบ้านเป็นแบ็คกราวด์เบื้องขวา ไกลออกไปค่อนมาทางซ้าย เรือใบสีขาวกำลังลอยลำอยู่ระหว่างต้นตาลคู่หนึ่ง น้ำทะเลสีเข้มจัดฉันดูภาพนี้ทีไรก็อดหวนรำลึกถึงวันแห่งความหลังของเราไม่ได้เลย “พ่อลูกคู่นั้นคุยอะไรกันจ๊ะ ข้าวเสร็จแล้วจ้ะ” แม่เยี่ยมหน้ามาจากครัวร้องเรียก ความชื่นบานสดใสปรากฏอยู่เต็มเปี่ยมในรอยยิ้มและน้ำเสียง เราล้อมวงรับประทานอาหารเช้ากันที่ระเบียง ยังไม่ทันอิ่ม เด็กชายเนื้อตัวมอมแมมคนหนึ่งก็อุ้มแตงโตมาส่ง บอกว่า “พ่อเขาให้เอามาให้” หลังอาหาร พี่ชายทั้งสองก็มักจะออกไปยิงนกตกปลาตามเรื่องตามราว ฉันนั้นมีหนังสืออ่านแล้วอยู่ในมือขวา มือซ้ายถือขนม นอนเขลงอยู่ในเปลญวนใต้ต้นมะม่วงก็สุขพออยู่แล้ว มิหนำซ้ำ วิทยุของแม่หน่อย น้องสาวคนรองกำลังบรรเลงเพลงเจื้อยแจ้วมาจากชิงช้าใต้ต้นตะขบ ฝีมือปืนของพ่อนั้น นอกจากในภาพยนตร์แล้ว ฉันยังไม่เคยพบผู้ใดยิงปืนได้แม่นยำเท่ากับพ่อ เวลาจะซ้อมมือ พ่อมักจะให้พวกเราเอากระป๋องนมเปล่าๆ ไปเสียบไม้ปักไว้ชายหาดเป็นแถว ตัวพ่อจะยืนอยู่บนเนินบ้าน เรียกพวกเราขึ้นมาจากหาดทรายเพื่อกันอุบัติเหตุอันอาจเกิดจากวิถีกระสุน แล้วก็ประทับปืนไว้กับซอกไหล่ เล็งแล้วจึงลั่นไก จากระยะร่วม ๑๐๐ เมตร พ่อยิงไม่เคยพลาด กระป๋องทุกใบกระเด็นหลุดจากหลัก และเมื่อเราไปเก็บมาดู ก็จะเห็นรอยกระสุนเจาะทุกใบ ความแม่นปืนของพ่อนี้ได้ตกทอดมาถึงพี่ชายคนโตของฉันด้วย พี่แดงยิงปืนได้แม่นยำพอใช้ กลับจากบุกป่าฝ่าดง ก็มักจะหิ้วนกมาเป็นพวงๆ เขาเคยท้าแข่งขันยิงปืนกับเพื่อนด้วยมือซ้าย ผลปรากฏว่าพี่แดงชนะ แต่พวกเพื่อนไม่รู้หรอกว่าเขาถนัดซ้าย เมื่อพ่อได้พักผ่อนเต็มที่ วันต่อมาเราก็อาจจะไปเที่ยวสัตหีบบ้างบางแสนบ้าง ตามแต่เสียงเรียกร้อง บางครั้งเราก็อาจจะนั่งรถไปกินข้าวกลางวันที่ศรีราชา ได้ลิ้มรสอาหารซึ่งประกอบด้วยของทะเลล้วนๆ เช่นสลัดกุ้ง ปลาเก๋าทอดกระเทียม ปูจ๋า ยำหอยแครง ปลาหมึกผัดกระเพรา ฯลฯ ของทุกชนิดสดจึงหวานอร่อย บางอาทิตย์ก็จะมีพวกพ้องจากกรุงเทพฯ ตามมาสมทบ อาจจะเป็นเพื่อนของพ่อหรือแม่ก็แล้วแต่ ฉันรู้อย่างเดียวว่าเราได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินยิ่งขึ้น เมื่อมาถึงเกาะครกเราก็ได้เห็นความมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งของธรรมชาตินั่นก็คือ ก้อนหินใหญ่มหึมา ซึ่งถูกน้ำกัดเซาะเสียจนกลายรูปเป็นครกขนาดยักษ์หรือถ้วยหนาเทอะทะ น้ำฝนซึ่งขัง เอ่ออยู่ในนั้นก็ใสแจ๋วราวกับตาตั๊กแตน เห็นแล้วอยากนำไปตั้งไว้ตามมุมรั้วบ้านเหลือเกิน แต่ก็สุด ปัญญาจะขนมันไปได้เพราะขนาดก้อนเล็กที่สุด พวกเราพร้อมใจกันผลักก็ยังไม่เขยื้อน เราแวะเกาะ ครกซึ่งเงียบสงัด มีพวกต่อยหอยนางรมกำลังปฏิบัติงานของตนอยู่ถัดไปตามโขดหินประมาณ ๒๐ นาที ก็ลงเรือเพื่อสู่จุดหมายปลายทาง นั่นก็คือเกาะสาก หาดทรายซึ่งปรากฏอยู่ต่อหน้าจากกล้องส่องทางไกลขณะนั้น ขาวสะอาด ตัดกับต้นไม้ สีเขียวเข้มและน้ำทะเลสีฟ้าแปร๊ด เรือยิ่งแล่นใกล้เข้าไปความขาวโพลนของมันก็ยิ่งเป็นประกาย อยู่กลางแสงแดดยิ่งขึ้น โดยเหตุที่ท้องเรือลึกพอประมาณ จึงไม่อาจเข้าใกล้ฝั่งมากกว่าที่เป็นอยู่ พวกเราต้องกระโดดลงจากเรือ ช่วยกันแบกของลุยน้ำซึ่งสูงครึ่งน่องของพ่อ แต่มิดเข่าของฉัน เดินตัดตรงขึ้นหาด เราขนสัมภาระไปกองรวมกันไว้ใต้ซุ้มมะนาวผีซึ่งเต็มไปด้วยหนาม แต่ก็แผ่ กิ่งก้านโค้งลงจดพื้นทรายคล้ายหลังคากันแดดให้พวกเราแม่จัดการตักข้าวผัดจากหม้อเคลือบใบใหญ่ส่งให้พ่อและก็เวียนให้ทุกคนจนครบ ข้าวเมล็ดสวยเป็นสีน้ำตาลอ่อนเพราะคลุกเคล้าด้วย ซีอิ๊วและเครื่องเคราต่างๆ นั้น รสชาติกลมกล่อมน่ากิน ประดับประดาด้วยกุ้งสีชมพูอ่อนชิ้นหนาๆ สลับกับหมูหวานสีน้ำตาลคล้ำ มีไข่เจียวสีเหลืองหั่นเป็นเส้นเล็กๆ โรยหน้า ข้างจาน มีแตงกวาล้าง สะอาดหั่นเป็นชิ้น วางแอบมาพร้อมกับผักชีช่อเล็กๆ และมะนาวผ่าซีก “นิด นิด มาดูอะไรนี่แน่ะ” พี่ชายทั้งสองกวักมือเรียก ฉันกับหน่อยก็เลยลุยน้ำเดินไปหา ก็พบว่าเขากำลังขอชาวบ้านเหล่านั้นต่อยหอยนางรมออกจาเปลือกซึ่งเกาะเต็มก้อนหิน “ลองชิมดูซิ หวานดีนะ” พี่น้อยชวนพลางหยิบหอยสดๆ ลงส่ายในน้ำทะเลให้หมดทราย และเปลือก แล้วก็ส่งเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย “อี๊ย์” ฉันร้องอย่างคลื่นไส้ และก็เหล็กมาลองต่อยบ้าง แต่ปรากฏว่าเละติดเปลือกหอย เสียงตบมือดังมาตามลม เราเหลียวไปดูก็เห็นพ่อยืนมองพวกเราอยู่ เมื่อวิ่งแข่งกันไปถึงพ่อก็บอกว่า “กลับกันรึยัง บ่ายสามโมงกว่าแล้ว จะได้ถึงบ้านไม่เย็นเกินไป” เรือแล่นห่างจากฝั่งทุกที ทิ้งความชื่นบานทั้งมวลไว้ ณ ที่นั้น ความสุขที่สุดในชีวิตซึ่งจะ ไม่มีวันหวนกลับมาอีก เรามาถึงที่พักเมื่อดวงอาทิตย์จมหายไปในน้ำพอดี ความขมุกขมัวแผ่ซ่าน ไปอย่างรวดเร็ว หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อแล้ว เราก็นั่งรถไปกินข้าวที่หาดพัทยา กับข้าวทยอยมาทีละอย่าง ต้มยำกุ้งเดือดพล่านอยู่ในหม้อกลางโต๊ะมันกุ้งสีแดงลอยเป็นฝา
อยู่กับเนื้อกุ้งสีชมพูอ่อน ผัดเผ็ดปลาหมึกก็เผ็ดจนน้ำหูน้ำตาไหล แต่ก็อร่อยเหลือเกิน ปลากะพง
ตัวโตทอดเหลืองกรอบวางมาในจานเปลพร้อมกับน้ำปลาพริก หอยนางรมชุบไข่ทอดก็เหมือน
ไข่เจียวหมูสับเราดีๆ นี่เอง เพียงเปลี่ยนจากหมูเป็นหอย แต่อร่อยจนเราต้องเรียกจานที่สอง นอกจากนี้ก็ยังมีแกงจืดผักกาดขาวชามเล็กสำหรับตุ๊กตา...คนเล็กที่สุดในกลุ่ม ซึ่งก็เลือกตักแต่ “สวัสดีครับครู” บุรุษผู้นั้นยกมือขึ้นไหว้พ่อและแม่พร้อมกับสตรีผู้มาด้วย “อ้าว คุณจิตต์ มาถึงเมื่อไรครับนี่” พ่อยกมือรับไหว้พร้อมกับเชื้อเชิญให้นั่ง “กินข้าวด้วยกันเลยนะครับ” คืนนั้นกว่าจะได้เข้านอนก็ร่วมสี่ทุ่ม ฉันนั้นหลับเป็นตาย ตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลางดึกเพราะผ้าห่มหลุดจากตัว และลมเย็นพัดเยือกเข้ามาทางหน้าต่าง พอลุกขึ้นใส่เสื้อหนาวและล้มตัวลงนอน ต่อ ก็ได้ยินเสียงไอและเสียงเลื่อนเก้าอี้ จึงลุกขึ้นเปิดประตูออกมาที่เฉลียงก็พบพ่อยังไม่นอน จากตะเกียงเจ้าพายุอันสว่างจ้านั้น ฉันเห็นพ่อนุ่งกางเกงแพรสีเขียวหัวเป็ดและสวมเสว้ตเตอร์คอวี แขนยาวสีเทา ก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรยุกยิกลงบนกระดาษปรู๊ฟแผ่นยาวควันจากบุหรี่ซึ่งห้อยอยู่ มุมปาก ลอยอ้อยอิ่งขึ้นปิดบังดวงหน้าสีทองแดงซึ่งสวมแว่นตานั้นเห็นเพียงรางเลือน “อ้าว ! หนูนิด ลุกออกมาทำไมลูก” เป็นเสียงถามของแม่ซึ่งนั่งถักโครเชท์อยู่บนเก้าอี้โยก เบื้องหลังพ่อ “จิ๋วหรือ” พ่อวางดินสอหันมาดูบ้าง “ยังไม่นอนหรือนั่น” จิ๋วก็คือชื่อเล่นอีกชื่อหนึ่งซึ่งพ่อใช้เรียกฉันเพียงคนเดียวเท่านั้น “พ่อยังไม่นอนหรือคะ” ฉันเดินขยี้ตาเข้ามาใกล้ “นิดหลับไปตื่นหนึ่งแล้ว พ่อเอาไว้เขียนต่อ พรุ่งนี้ไม่ดีหรือคะ นอนดีกว่า” “กินกาแฟแล้วเลยไม่ง่วงลูก” พ่อตอบพลางชี้ให้ฉันดูถ้วยกาแฟซึ่งเหลือติดก้นถ้วยเพียงนิดเดียว “จิ๋วไปนอนเถอะ เพิ่งจะตีหนึ่งเท่านั้นเอง เอาแม่เขาไปนอนเสียด้วย มานั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ ทำไม เหน็ดเหนื่อยมาแล้วทั้งวัน” “พ่อนอนด้วยซีคะ” ฉันว่า “พ่อจะเขียนหนังสือให้จบก่อน” พ่อบอก “เหลืออีกฉากเดียวเท่านั้นเอง คุณจิตต์แกอุตส่าห์มาทวงเรื่องถึงที่นี่ พรุ่งนี้แกก็จะกลับกรุงเทพฯแล้ว หนุไปนอนเถอะ ไม่ต้องห่วงพ่อ” “นิดตาสว่างแล้วค่ะ” ฉันตอบพลางลากเก้าอี้มานั่งข้างๆพ่อ เอื้อมมือไปหยิบต้นฉบับมาดู ลายมือของพ่อตัวเล็กและถี่ยิบจนฉันขี้เกียจเพ่งเพราะปวดตา ทำเอาฉันสงสัยว่าพวกช่างเรียงที่ โรงพิมพ์อ่านออกได้อย่างไรกัน “เอากาแฟอีกถ้วยไหมคะคุณ” แม่ถาม “ดีเหมือนกัน” พ่อว่า ส่งถ้วยให้แม่ เมื่อกาแฟร้อนควันกรุ่นมาวางอยู่ตรงหน้า พ่อก็ยกดื่มรวดเดียวหมด นั่งหมุนดินสอมองทะเลซึ่งกระเพื่อมเป็นประกายอยู่กลางแสงจันทร์แรม ๗ ค่ำ ซึ่งเพิ่งโผล่พ้นแมกไม้ขึ้นมา ทางมะพร้าวหน้าบ้านก็เป็นมันเลื่อมไหวไปมาเพราะแรงลม เสียงคลื่นดังอยู่ไม่ขาดระยะ แล้วพ่อก็จุดบุหรี่สูบจับดินสอขึ้นใหม่ พ่อสูบบุหรี่จัดเหลือเกิน โดยเฉพาะในยามต้องการใช้สมองเช่นนี้ ครู่ใหญ่พ่อก็เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ ถามฉันว่า “จิ๋ว จำเพลงชั่วฟ้าได้หรือเปล่าลุก ไหนลองร้องให้พ่อฟังหน่อยซิ” นี่ไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาดอะไรเลย หากอารมณ์ตึงเครียดเกินไปนัก พ่อก็จะหยุดเขียน
หนังสือสักพัก เปิดวิทยุฟังเพลงเพราะๆ แล้วจึงจะลงมือต่อไป หรือมิฉะนั้นก็สนทนาปราศรัยกับ
แม่และลูกๆ แต่ในขณะนี้พ่อให้ฉันร้องเพลงให้ฟัง ซึ่งก็อาจเป็นเพราะกำลังเขียนบทละครจาก
ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้ และชั่วฟ้าดินสลายก็เป็นเพลงซึ่งมีความไพเราะมากเพลงหนึ่งที่ผู้ประพันธ์
แต่งขึ้นสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะ เมื่อหนังเข้าฉาย ผู้สร้างได้ส่งบัตรเชิญรอบปฐมทัศน์
มาให้ เราไปชมกันทั้งครอบครัว และก็ไม่ผิดหวังนักในเนื้อหาของเรื่องเช่นหนังเรื่องอื่น ซึ่งนำไป
ดัดแปลงเสียจนพ่อแทบไม่รู้ว่า เป็นความนึกคิดที่พ่อกลั่นกรองจากสมองของพ่อเอง ฉันร้องเพลง
ให้พ่อฟัง และพ่อก็วางดินสอเท้าแขนบนพนักเก้าอี้ สูบบุหรี่อย่างสบายใจ พอฉันร้องจบ พ่อก็ลง
มือเขียนหนังสือต่อไป นี่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของพ่อ และก็ของฉันด้วย “ช่วยจัดกระเป๋าให้ด้วย เสาร์หน้าจะต้องไปเยอรมันอีกแล้ว” หรือ “แอร์ ฟรานซ์ เชิญเดินทางรอบโลกปลายเดือนนี้แหละ” หรือ “ปฏิเสธญี่ปุ่นไปแล้วสองครั้ง คราวนี้เห็นจะต้องไป แต่การไปนอกครั้งใดๆ ก็ไม่ก่อให้เกิดความตื่นเต้นกับฉันเช่นคราวได้รับเชิญไปเยอรมัน ครั้งแรกสุดๆ ฉันยังจำได้ถึงสภาพพ่อแต่งสากลสีเทาเข้มท่ามกลางเพื่อนนักเขียนรุ่นเดียวกันและรุ่นหลัง ดวงหน้าของพ่อยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายทุกคนอย่างทั่วถึง มีฉันยืนหน้าบานอยู่ข้างๆ ถือ เสื้อโค้ตให้พ่อ และคอยรับพวงมาลัยซึ่งมีผู้นำไปสวมให้จนล้นคอ ก่อนจะก้าวเข้าสู่ด่านตรวจของ พ่อดึงฉันเข้าไปกอดบอกว่า “พ่อไม่อยู่นี่จิ๋วต้องเป็นเด็กดีนะลูก คอยดูแลแม่และน้องๆ ด้วยอีกสองเดือนพ่อก็กลับ แล้วพ่อจะเขียนจดหมายมาบ่อยๆ” และพ่อไม่เคยลืมสัญญา โป๊สคาร์ดสวยๆ ส่งมาถึงแม่และลูกทุกคนอย่างสม่ำเสมอ ทุกอาทิตย์ ตอนที่พ่อไม่อยู่นั้น ฉันเหงาเหมือนกัน เวลามีการบ้านต้องค้นคว้า ก็ไม่รู้ว่าจะไต่ถาม พ่อไม่เคยลืมของฝากแม่และลูกเลยสักที แต่ผู้ที่ได้รับมากที่สุดก็เห็นหน่อยและฉัน เพราะ เรากำลังอยู่ในวัยที่ใช้ของกระจุกกระจิกได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโคโลญจ์กลิ่นอ่อน เสื้อปักสวยๆ เข็มกลัดและสร้อยคอเก๋ๆ ของแต่ละชิ้นที่พ่อนำมาก็เลือกได้งดงามถูกใจทุกคน แต่สิ่งใดก็ไม่ทำให้ ฉันตื่นเต้นเท่ากับวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเล็กจิ๋วขนาดกว้าง ยาวเท่ากล่องบุหรี่ สีแสดคล้ำอยู่ใน ซองสีน้ำตาล วิทยุนี้เป็นสิ่งที่ฉันแอบกระซิบขอพ่อก่อนขึ้นเครื่องบินนั่นเอง และพ่อก็จำได้ พ่อส่ง ให้ฉันพร้อมด้วยหูฟัง ฉันรับมาขณะที่หมายมั่นปั้นมือว่า จะนำไปโรงเรียนด้วย และแอบเอาไว้ฟังในชั่วโมงเลขคณิตอันน่าเบื่อหน่าย แต่เมื่อพ่อได้รับเชิญบ่อยขึ้นปีละหลายๆ ครั้ง ความกระตือรือร้นของฉันก็คลายลงจนกลายเป็นเฉยๆไม่ใจหายเช่นครั้งแรก เพียงแต่รู้สึกเหงาบ้าง เมื่อพ่อไม่อยู่เท่านั้นเอง บางครั้งฉันก็ติดรถไปส่งพ่อถึงสนามบิน บางคราวก็ส่งแค่หน้าประตูบ้าน แต่ที่แน่ๆที่สุดก็คือไปรับพ่อตอนกลับ ความคิดถึงนั้นเป็นส่วนใหญ่ และส่วนอื่นๆ ที่ตามมาก็คือความกระหายใคร่รู้ว่าฉันจะได้อะไร เป็นของฝากเที่ยวนี้ ประวัติการทำงานของพ่อไม่เคยมีจุดด่างพร้อย เพราะพ่อไม่เคยใช้ตำแหน่งหน้าที่ของพ่อแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัว พ่อสนใจกับข่าวคราวของโลก แต่ก็ไม่นำตัวไปพัวพันกับการเมือง |
ขนิษฐา ณ บางช้าง |